กองทุนส่อง‘หุ้นบิ๊กเทคสหรัฐ’ มีอัปไซด์-กำไรเติบโต
จากถ้อยแถลงของ Jerome Powell ในการประชุม Jackson Hole ยังไม่มีวี่แววในการปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ และมีโอกาส ขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ หากเงินเฟ้อยังไม่ปรับตัวลงมายังกรอบเป้าหมาย ซึ่งยังเป็นปัจจัยกดดันบรรยากาศ การลงทุน
ยิ่งยง เจียรวุฑฒิ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บลจ.อีสท์สปริง กล่าวว่า การลงทุนในช่วงที่เหลือปีนี้ เศรษฐกิจโลก ยังคงชะลอตัว แต่อาจ “ไม่ถึงกับถดถอย” จากปัจจัยเงินเฟ้อที่ยังกดดันธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก ทำให้ต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อชะลอเงินเฟ้อ
ขณะที่เงินเฟ้อปีนี้เริ่มเห็น การชะลอตัวอย่างชัดเจน ส่งผลให้ปีนี้ โดยเฉพาะไตรมาส 3 อาจเป็นการจบรอบดอกเบี้ยขาขึ้น โดยเฉพาะฝั่งของสหรัฐ คาดเฟดยังขึ้นดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้ง และยังไม่มีฟองสบู่ ส่วนด้านประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ของสหรัฐ เริ่มมีการปรับเพิ่มขึ้น
“แม้ว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯจะออกมาสูงกว่าคาด และเฟดส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยจะสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ แต่ตลาดหุ้นไม่ได้เคลื่อนไหวผันผวนหรือถูกเทขายแรงๆเหมือนปีที่ผ่านมา แต่เป็นการย่อตัวลงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้เป็นเพราะว่าเรากำลังอยู่ในช่วงท้ายๆของวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว”
โดยทีมกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ กระจายการลงทุนในหุ้นสหรัฐกลุ่มเติบโต โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี (IT) ขนาดใหญ่และมีคุณภาพสูงที่มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้มากกว่าตลาด (Outperform) เมื่อตลาดกลับตัวเป็นขาขึ้น โดยสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องตั้งแต่ 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี แม้ว่าในรอบปัจจุบันหุ้นกลุ่ม IT จะปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดมาแล้วประมาณ 33%
ทั้งนี้“หุ้นกลุ่ม IT" ยังคงมี อัปไซด์อยู่ในระยะถัดจากนี้ และยังไม่สายเกินไปที่จะเข้าลงทุน” เพราะในมิติของการเติบโตของกำไร ( EPS Growth) นั้น หุ้นกลุ่ม IT สหรัฐ ยังมี EPS Growth ในระดับที่น่าสนใจในอีก 2 ปีถัดไป โดยหุ้น Top10 ในพอร์ตของกองทุน ES-USTECH จะปรับตัวขึ้นมาในปีนี้แล้วก็ตาม แต่นักวิเคราะห์ในตลาดก็ยังประเมินว่าหุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังคงมี อัปไซด์เกิน 10% ในอีก 12 เดือนข้างหน้า
ด้านผู้จัดการกองทุน บลจ.ยูโอบี มุมมองว่า ถ้อยแถลงของ Jerome Powell ในการประชุม Jackson Hole นั้น เป็นไปตามที่ตลาดคาด โดยตลาดปรับโอกาส45%ที่ เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย ในเดือนพ.ย. เช่นเดียวกันกับความคาดหวังในการลดอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัว โดยน่าจะเกิดได้อย่างเร็วที่สุดในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ซึ่งเรามองว่ามีความสมเหตุสมผลกับทิศทางเงินเฟ้อที่ค่อยๆลดลง ในขณะที่เศรษฐกิจยังแข็งแรงพอที่จะสนับสนุนให้ เฟดสามารถคง ดอกเบี้ยในระดับสูงไว้ได้นาน
นอกจากนี้ เรามองการฟื้นตัวของตลาดหุ้นสหรัฐในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความน่าสนใจในมุมของราคาหุ้น ( Valuation) ที่มีการปรับฐานลงมาก่อนหน้านี้ รวมถึง Earnings Outlook ในระยะข้างหน้าที่สดใสมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการประกาศกำไรของบริษัทบจ.ในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ส่งสัญญาณผ่านจุดต่ำสุด (Bottom Out) โดยมีเหตุผลสำคัญคือพื้นฐานทางเศรษฐกิจยังคงมีความทนทาน (Resilient) เรามองกรณี Soft Landing เป็นกรณีพื้นฐานเหมือนเดิม แต่ยังมีความเสี่ยงที่สำคัญในภาคธนาคารที่มี Credit Condition ที่เข้มงวดขึ้น
แม้ว่าตลาดจะมี มุมมองเชิงบวกกับการลงทุนสหรัฐมากขึ้น แต่ความเสี่ยงเรื่องถดถอยทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ เราจึงแนะนำการลงทุนในหุ้นเติบโตที่มี Earnings Visibility ที่ดีเป็น Secular Trend
อย่างหุ้นธีม Robotics & AI, EV, ESG Quality Growth มี Valuation ที่น่าสนใจหลังจากปรับฐานมาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะธีม Robotics & AI ที่ได้รับอานิสงส์หลังจากการประกาศผลประกอบการของบริษัท Nvidia ที่ชี้ให้เห็นว่า เรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของ AI
ทั้งนี้ อ้างอิงจากข้อมูล Bloomberg ณ 28 ส.ค. 2566 ดัชนี S&P500 และ ดัชนี NASDAQ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 16.47% และ 31.69% ตามลำดับ ในขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า EPS Growth ในปี 2566 ของดัชนี S&P500 และ ดัชนี NASDAQ อยู่ที่ 8.08% และ 11.14% ตามลำดับ