โอกาสทอง...ในการเข้าลงทุนในตราสารหนี้

โอกาสทอง...ในการเข้าลงทุนในตราสารหนี้

นักวิเคราะห์ทั่วทุกมุมโลกต่างเปิดปี 2023 มาด้วยกลยุทธ์ “Bonds are back” ด้วยความเชื่อมั่นว่าการลงทุนในตราสารหนี้จะสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่น

ผ่านไปเกือบ 1 ปี ผู้ลงทุนในตราสารหนี้ได้รับผลตอบแทนแตกต่างกันไปตามประเภทของตราสาร หากลงทุนเพียงแค่พันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกจะขาดทุนราวๆ -2% ในสกุลดอลลาร์  เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี และ 10 ปี ตั้งแต่ต้นปีพุ่งสูงขึ้น 0.47% และ 0.66% ตามลำดับ หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อสู่ระดับ 5.25-5.50%

ในขณะที่หุ้นกู้บริษัทเอกชนให้ผลตอบแทนได้ดีกว่า โดยหุ้นกู้ความน่าเชื่อถือสูง (Investment grade) -0.4% ส่วนหุ้นกู้ผลตอบแทนสูง (High yield) ให้ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นถึง +7% หนุนจากดอกเบี้ย (Coupon) ที่อยู่ในระดับสูง

หากพิจารณาปัจจัยต่างๆ เริ่มจากตัวเลขเศรษฐกิจรายเดือนที่เริ่มอ่อนแรงลง ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ ส่วนหนึ่งกดดันจากต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นสร้างภาระต่อภาคครัวเรือนและธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากขึ้น ส่วนตลาดแรงงานก็ส่งสัญญาณชะลอตัวเช่นกัน โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตรล่าสุดปรับเพิ่มขึ้นเพียง 150,000 ตำแหน่ง และอัตราการว่างงานปรับเพิ่มขึ้นเป็น 3.9%

นอกจากนั้นค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงปรับขึ้นน้อยกว่าคาด ประกอบกับชั่วโมงการทำงานที่ลดลง ส่งผลให้ภาพรวมรายได้ทั้งหมดลดลง ด้านตัวเลขเศรษฐกิจที่มีผลต่อนโยบายการเงินของ FED มากที่สุดอย่างเงินเฟ้อก็อ่อนตัวลงมาจากจุดสูงสุดในเดือนมิถุนายนปีที่แล้วที่ +9.1% YoY สู่ระดับ +3.2% ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จากราคาพลังงานและราคารถยนต์ที่ปรับตัวลง รวมถึงราคาภาคบริการซึ่งรวมถึงค่าเช่าบ้านก็ชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญ

จากพัฒนาการด้านเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ทำให้ FED มีมติคงดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในการประชุมครั้งล่าสุด พร้อมทั้งระบุว่าภาวะการเงิน (Financial condition) ที่ตึงตัว และการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น จะมีส่วนกดดันเศรษฐกิจ การจ้างงาน และเงินเฟ้อ ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองที่ผ่อนคลายมากขึ้น จึงคาดการณ์ว่า FED ได้เสร็จสิ้นการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว และตลาดคาดมีโอกาสที่จะเริ่มลดดอกเบี้ยในครึ่งหลังของปี 2024

จากดอกเบี้ยปัจจุบันที่อยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบ 16 ปี และมีโอกาสจำกัดที่ดอกเบี้ยจะขึ้นไปสูงกว่านี้ เราจึงมองว่าในตอนนี้ถือเป็นโอกาสทองในการเข้าลงทุนในตราสารหนี้ เนื่องจากมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่ดี และยังมีความเสี่ยงขาลงที่จำกัด โดยแนะนำ 3 กลยุทธ์ ดังนี้

  1. กระจายลงทุนในตราสารหนี้หลายประเภททั่วโลก ทั้งพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน โดยเลือกสรรกองทุนที่มีอายุเฉลี่ยของตราสารค่อนข้างยาว เพื่อจะได้อานิสงค์จากดอกเบี้ยปัจจุบันที่อยู่ในระดับสูง จึงมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่น่าดึงดูดทั้งในรูปแบบของดอกเบี้ย และกำไรจากมูลค่าที่ปรับเพิ่มขึ้นหากดอกเบี้ยปรับลงในปีหน้า
  2. เพิ่มผลตอบแทนด้วยตราสารหนี้ภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากดอกเบี้ยในเอเชียอยู่ในระดับที่สูง และธนาคารกลางในเอเชียหลายประเทศมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยนโยบายก่อนธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำให้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ นอกจากนั้นประเทศเกิดใหม่ในเอเชียหลายประเทศ เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างสูง และฐานะการคลังยังอยู่ในเกณฑ์แข็งแกร่ง จึงทำให้ความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ต่ำ
  3. เสริมพอร์ตด้วย Contingent Convertible Bond (CoCo Bond) คือตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ที่ออกโดยสถาบันการเงิน เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ต ที่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยค่อนข้างสูง และความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากประเมินว่าภาคธนาคารทั่วโลกมีความแข็งแกร่ง สะท้อนจากอัตราส่วนเงินทุน CET 1 ที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤต ปี 2008

แม้สถานการณ์ปัจจุบันจะเอื้อต่อการลงทุนในตราสารหนี้ แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงที่ยากจะคาดการณ์ โดยเฉพาะประเด็นความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ซึ่งถ้าหากรุนแรงขึ้นจะส่งผลให้ราคาพลังงานพุ่งสูงและผลักดันให้เงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้น ก็อาจจะกดดันให้ธนาคารกลางต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ ดังนั้นการลงทุนจึงต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง จึงแนะนำลงทุนในกองทุนที่มีผู้เชี่ยวชาญเลือกเฟ้นสินทรัพย์คุณภาพดี และปรับพอร์ตตามสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที เพื่อสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นได้ในระยะยาว