เงินที่รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คำนวณภาษีอย่างไร
“กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” เป็นสวัสดิการที่นายจ้างมีให้แก่ลูกจ้างเพื่อเพิ่มเงินออมและเงินลงทุนในช่วงที่ยังทำงานอยู่ร่วมกัน โดยมุ่งหวังให้ลูกจ้างมีเงินเก็บไว้ใช้ในยามเกษียณ ซึ่งเงินส่วนนี้นับเป็นรายได้ที่ลูกจ้างจะได้รับมากขึ้น
หากเงินจำนวนนี้ยังคงอยู่ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็จะไม่ถูกนำไปคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี
แต่หากมีการรับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพออกไปเงินจำนวนดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ (1) เงินสะสมของลูกจ้าง (2) ผลประโยชน์ของเงินสะสมของลูกจ้าง (3) เงินสมทบของนายจ้าง และ (4) ผลประโยชน์ของเงินสมทบของนายจ้าง จะมีเฉพาะเงินส่วนที่ (1) เท่านั้นที่จะไม่ถูกนำไปคำนวณภาษี แต่เงินส่วนที่ (2)-(4) จะถูกนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลัก ทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า การรับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบ่งได้เป็น 3 กรณี ดังนี้
1. รับเงินเนื่องจากเกษียณ เนื่องจากข้อกำหนดในเรื่องการเกษียณของแต่ละบริษัทไม่เหมือนกัน บางบริษัทอาจกำหนดให้เกษียณที่อายุ 55 ปี หรือ 60 ปี หรือมีโครงการที่สามารถเกษียณอายุก่อนกำหนด (early retirement) ดังนั้น สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (สมาชิก) ที่จะเกษียณจึงต้องคำนึงถึงเงื่อนไขของการได้รับการยกเว้นภาษีว่า ตนเองอายุครบ 55 ปี และเป็นสมาชิกต่อเนื่องกันไม่ต่ำกว่า 5 ปี หรือไม่
หาก ณ วันที่เกษียณของสมาชิกเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด เงินส่วนที่ (2)-(4) ก็จะได้รับยกเว้นการนำไปคำนวณภาษีเงินได้ แต่หากวันที่เกษียณไม่เป็นไปตามเงื่อนไขดังกล่าว เช่น อายุ 50 ปี แต่เป็นสมาชิก 10 ปีแล้ว หรืออายุ 57 ปี แต่เป็นสมาชิกเพียง 3 ปี เป็นต้น จะต้องนำเงินส่วนที่ (2)-(4) มาคำนวณภาษีเงินได้ประจำปี
อย่างไรก็ตาม หากสมาชิกไม่ต้องการนำเงินส่วนนี้ไปคำนวณภาษีเงินได้ สมาชิกสามารถ (1) ขอคงเงินไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเดิมโดยมีการคิดค่าธรรมเนียมรายปี หรือ (2 )โอนไปยัง RMF for PVD ซึ่งเป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่รับโอนเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จนถึงระยะเวลาที่คุณสมบัติของสมาชิกเป็นไปตามเงื่อนไขแล้ว จึงค่อยถอนเงินออกมาภายหลัง
2. รับเงินเนื่องจากลาออกจากกองทุน โดยไม่ลาออกจากงานไม่ว่าสมาชิกจะมีอายุเท่าไร และมีอายุงานมากเท่าไร แต่หากลาออกจากกองทุนโดยไม่ลาออกจากงานด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะต้องนำเงินส่วนที่ (2)-(4) ที่ได้รับ มาคำนวณภาษีเงินได้ประจำปี
3. รับเงินเนื่องจากออกจากงาน หากบริษัทใหม่ “มี” กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นสวัสดิการด้วย สมาชิกสามารถโอนเงินทั้งหมดจากกองเดิมไปยังกองใหม่ได้โดยเงินจำนวนดังกล่าวจะไม่ถูกนำมาคำนวณภาษีเงินได้
อย่างไรก็ดี หากบริษัทใหม่ “ไม่มี” กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สมาชิกสามารถขอคงเงินไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทเดิมและมีค่าธรรมเนียมรายปี หรือสามารถโอนไปยัง RMF for PVD ได้เช่นกัน
หากสมาชิกตัดสินใจถอนเงินออกมาทั้งหมด เงินส่วนที่ (2)-(4) จะถูกนำไปคำนวณภาษีเงินตามหลักการ ดังนี้
2.1 กรณีสมาชิกมีอายุงานน้อยกว่า 5 ปี เงินส่วนที่ (2)-(4) จะถูกนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้ประจำปี
2.2 กรณีสมาชิกมีอายุงานตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป มีทางเลือกในการคำนวณภาษี 2 ทาง ได้แก่
2.2.1 นำเงินส่วนที่ (2)-(4) ไปรวมเป็นรายได้ในการคำนวณภาษีเงินได้ประจำปี
2.2.2 แยกคำนวณ โดย ขั้นที่ 1 : นำ 7,000 x จำนวนปีที่ทำงาน แล้วนำไปหักออกจากเงินส่วนที่ (2)-(4)
ขั้นที่ 2 : เงินที่เหลือจากขั้นที่ 1 หักออกอีกครึ่งหนึ่ง แล้วนำไปคำนวณภาษีเงินได้ประจำปี
ตัวอย่าง
นาย A มีเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทั้งหมด 2,200,000 บาท แยกเป็น
(1) เงินสะสม 1,000,000 บาท
(2) ผลประโยชน์ของเงินสะสม 100,000 บาท
(3) เงินสมทบ 1,000,000 บาท
(4) ผลประโยชน์ของเงินสมทบ 100,000 บาท
นาย A อายุ 40 ปี มีอายุงาน 20 ปี ต้องการออกจากงานและนำเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพออกทั้งหมด
นาย A มีทางเลือก 2 ทาง ได้แก่
1. นำเงินส่วนที่ (2)-(4) จำนวน 100,000 + 1,000,000 + 100,000 = 1,200,000 บาท ไปรวมเป็นรายได้ในการคำนวณภาษีเงินได้ประจำปี
2. แยกคำนวณ โดย
ขั้นที่ 1 : 1,200,000 - (7,000 x 20) = 1,060,000 บาท
ขั้นที่ 2 : 1,060,000 x 0.5 = 530,000 บาท นำไปคำนวณภาษีเงินได้ประจำปี
ทั้งนี้ เดือนธันวาคมของทุกปีเป็นเดือนสุดท้ายที่ผู้มีรายได้ประจำจะต้องเตรียมการเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งเงินได้ของปีปัจจุบัน จะกำหนดให้ต้องยื่นแสดงรายการภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไปกรณียื่นแบบกระดาษ และภายในต้นเดือนเมษายนของปีถัดไปกรณียื่นแบบออนไลน์ ดังนั้น สมาชิกที่มีการรับเงินออกไประหว่างปี รวมถึงมีแผนจะรับเงิน ควรศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจรับเงิน เพื่อบริหารภาษีและเตรียมความพร้อมในการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีถัดไป ได้อย่างถูกต้องตามหน้าที่ของพลเมืองไทย