เปิดสถิติ ปี 66 ตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวคงค้างพุ่งทะลุปรอท มูลค่า 4.49 ล้านล้านบาท
เปิดสถิติ ปี 2566 ตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวคงค้างพุ่งทะลุปรอท มูลค่า 4.49 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.76% ด้านบริษัทที่มีอันดับเครดิตคงอยู่ตลอดทั้งปี 2566 นั้นมีจำนวนทั้งสิ้น 215 ราย
ทริสเรทติ้ง ระบุผ่านบทวิเคราะห์ถึงตลาดตราสารหนี้ของไทยในปี 2566 ต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยหรือความเชื่อมั่นที่ลดลงของนักลงทุนภายหลังจากการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทที่ออกตราสารหนี้รายใหญ่รายหนึ่งซึ่งผู้บริหารถูกกล่าวหาว่ามีการกระทำที่ส่อไปในทางทุจริตเกี่ยวกับการตกแต่งข้อมูลทางบัญชีซึ่งส่งผลให้ตราสารหนี้ใหม่ (รวมตราสารหนี้ต่างประเทศที่ออกเป็นสกุลเงินบาท) ที่ออกและจดทะเบียนกับสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยในปี 2566 ลดลงมาอยู่ที่ 1.01 ล้านล้านบาท จาก 1.24 ล้านล้านบาทในปี 2565 หรือลดลงประมาณ 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม มูลค่าของตราสารหนี้ระยะยาวคงค้างของภาคเอกชน ณ สิ้นปี 2566 นั้นยังคงเพิ่มขึ้น 7.76% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า โดยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้นที่จำนวน 4.49 ล้านล้านบาท
ในปี 2566 ทริสเรทติ้งมีการจัดและประกาศผลอันดับเครดิตให้แก่ผู้ออกตราสารหนี้รวมทั้งสิ้นจำนวน 254 ราย ซึ่งผู้ออกตราสารหนี้ดังกล่าวประกอบด้วยบริษัททั่วไปจำนวน 192 ราย สถาบันการเงินจำนวน 58 ราย ผู้ออกตราสารหนี้ที่มีโครงสร้างซับซ้อน (Structured Finance Issuer) 1 ราย และอีก 3 รายเป็นผู้ออกตราสารหนี้ที่จัดอยู่ในกลุ่มรัฐบาลซึ่งรวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ (Supranational Institution)
สำหรับการศึกษาสถิติการผิดนัดชำระหนี้นี้ทริสเรทติ้งไม่ได้รวมผู้ออกตราสารหนี้ที่มีโครงสร้างซับซ้อน ผู้ออกตราสารหนี้ที่จัดอยู่ในกลุ่มรัฐบาล และผู้ออกตราสารหนี้ซึ่งเป็นบริษัททั่วไปจำนวนรวม 6 รายและสถาบันการเงินอีกจำนวน 3 รายที่ออกแต่เฉพาะตราสารหนี้ที่มีการค้ำประกันเต็มจำนวน ดังนั้น การศึกษานี้จึงใช้ข้อมูลของผู้ออกตราสารหนี้จำนวนทั้งสิ้น 241 ราย ซึ่งจำแนกออกเป็นบริษัททั่วไปจำนวน 186 รายและสถาบันการเงินจำนวน 55 ราย
สำหรับบริษัทที่มีอันดับเครดิตคงอยู่ตลอดทั้งปี 2566 นั้นมีจำนวนทั้งสิ้น 215 ราย (ไม่นับรวมบริษัทที่ยกเลิกอันดับเครดิตจำนวน 9 รายและบริษัทที่เพิ่งได้รับอันดับเครดิตจำนวน 17 รายในปีดังกล่าว) โดยมีบริษัทที่ได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตจำนวน 12 ราย ปรับลดอันดับเครดิตจำนวน 25 ราย และผิดนัดชำระหนี้จำนวน 2 ราย ทำให้สัดส่วนของบริษัทที่ถูกปรับลดอันดับเครดิต (รวมบริษัทที่ผิดนัดชำระหนี้) เมื่อเทียบกับบริษัทที่ได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตนั้นมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 2.25 เท่าในปี 2566 จาก 0.76 เท่าในปี 2565 และอัตราการผิดนัดชำระหนี้ในปี 2566 อยู่ที่ระดับ 0.93% ในขณะที่ผู้ออกตราสารที่มีการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มอันดับเครดิต (Rating outlook) มีจำนวน 22 ราย โดยจำแนกออกเป็นผู้ที่ได้รับการปรับเพิ่มแนวโน้มอันดับเครดิต จำนวน 6 ราย และผู้ที่ได้รับการปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตจำนวน 16 ราย
จำนวนบริษัทที่มีการผิดนัดชำระหนี้โดยรวมในระหว่างปี 2537-2566 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 26 รายจาก 24 รายในช่วงระหว่างปี 2537-2563 (รวมผู้ออกตราสารหนี้จำนวน 5 รายที่มีการผิดนัดชำระหนี้หลังจากยกเลิกอันดับเครดิตไปแล้วเกินกว่า 1 ปี) ทั้งนี้ในช่วงระหว่างปี 2564-2565 นั้นไม่มีบริษัทที่มีการผิดนัดชำระหนี้ซึ่งทำให้อัตราการผิดนัดชำระหนี้สะสม 1 ปี 2 ปี และ 3 ปี ในช่วงระหว่างปี 2537-2566 เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 0.840% 1.799% และ 2.582% จากระดับ 0.832% 1.785% และ 2.592% ในช่วงระหว่างปี 2537-2565 ตามลำดับ
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับข้อมูลสถิติอัตราการผิดนัดชำระหนี้ของทริสเรทติ้งเมื่อเทียบกับสถาบันจัดอันดับเครดิตรายอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ ทริสเรทติ้งจึงได้ทำการเปรียบเทียบข้อมูลสถิติการผิดนัดชำระหนี้ของทริสเรทติ้งกับสถาบันจัดอันดับเครดิตรายสำคัญ ๆ ในอาเซียน ซึ่งผลปรากฏว่าอัตราการผิดนัดชำระหนี้สะสมของทริสเรทติ้งโดยรวมนั้นค่อนข้างต่ำในเกือบทุกระดับของอันดับเครดิต ยกเว้นเพียงกลุ่มที่ได้อันดับเครดิตที่ระดับ “AA” เท่านั้น
ทั้งนี้เนื่องจากมีบริษัทผู้ออกตราสารหนี้ในกลุ่มนี้จำนวน 2 รายที่มีการผิดนัดชำระหนี้ในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2540-2541 ในขณะที่จำนวนบริษัทที่ออกตราสารในกลุ่มนี้มีจำนวนค่อนข้างน้อย ข้อสังเกตสำคัญอีกประการหนึ่งคือการกระจายตัวของอันดับเครดิตของทริสเรทติ้งนั้นมีความสมมาตรมากกว่าของสถาบันจัดอันดับเครดิตรายอื่นๆ ในภูมิภาค โดยบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตจากทริสเรทติ้งในปี 2565-2566 ส่วนใหญ่มีอันดับเครดิตอยู่ในระดับ “A” และระดับ “BBB” ในขณะที่บริษัทจัดอันดับเครดิตอื่นๆ ในภูมิภาคนี้จะมีสัดส่วนของบริษัทที่มีอันดับเครดิตค่อนข้างสูงเป็นส่วนใหญ่ โดยมีบริษัทที่ได้รับอันดับเครดิตที่ระดับ “A” หรือสูงกว่าในสัดส่วนที่มากกว่า 80%