หุ้นไทยยังมีเสน่ห์ในวันที่ดัชนีน่าผิดหวัง แนะกลยุทธ์รอช้อนเล่นรายตัว
นักวิเคราะห์ชื่อดัง "กวี ชูกิจเกษม" ชมหุ้นไทยแม้ยังไม่ไปไหนทว่ามีเสน่ห์ 10 ปีผ่านมาฝรั่งขายร่วม 8 แสนล้านบาท หวังหมดแรงถล่มแล้ว เดือน พ.ค. นี้ฟันธงมี Sell in May มองตลาดทั่วโลกอ่อนล้าถึง ต.ค. หุ้นจีนถูกจัดแต่เดาทางยาก ชูตราสารหนี้ปลอดภัย ประเทศไทยเนื้อหอมสำหรับคลาวด์
"เม็ดเงินลงทุนรู้แล้วว่าประเทศไทยก็เป็นแบบนี้ ฉะนั้นตัวเลือกการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนาม อินเดีย หรือแม้กระทั่งจีน ก็ยังมีมุมที่น่าสนใจกว่าประเทศไทย" นายกวี ชูกิจเกษม ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ และคอนเทนต์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นบทสนทนา
วันที่ 3 พ.ค. 67 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,369.92 จุด แม้จะขยับบวกได้ 0.49% จากวันทำการก่อนหน้าด้วยแรงพยุงของหุ้นขนาดใหญ่ แต่เมื่อย้อนมองภาพตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่ยอด 1,718.55 จุด ขาลงดัชนีหุ้นฉายภาพชัด ซึมตัวลงเรื่อยๆ พร้อมการซื้อขายที่เบาบาง โดยมีนักลงทุนต่างชาติทำสถานะขายสุทธิเนืองๆ
นักวิเคราะห์ผู้อยู่ในวงการมาเกือบ 30 ปี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า "ตลาดหุ้นไทยจะอยู่ในภาวะแกว่งตัวต่อไป ไม่ไปไหน สิบปีที่ผ่านมายอดการขายจากนักลงทุนต่างชาติรวมแล้วมากกว่า 8 แสนล้านบาทเกือบจะถึงล้านล้านบาทอยู่แล้ว ชัดเจนแล้วว่าเงินลงทุนไม่เลือกประเทศไทย เงินลงทุนที่เข้ามาใหม่อยู่ไม่นานก็ออกไป ซ้ำๆ อย่างนี้ แต่ในอีกมุมหนึ่งก็คือเขาจะไม่เงินที่จะถล่มขายมากๆ อีกแล้ว"
อย่างไรก็ดี ประเมินหุ้นไทยเดือนนี้ยังจะเกิดปรากฏการณ์ Sell in May (การเทขายหุ้นออกที่มักเกิดช่วงเดือน พ.ค.) สอดคล้องกับภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกที่ยังมีความเสี่ยงอีกหลายเดือนนับจากนี้
"คำว่า Sell in May นี้น่าจะเป็นเพียงข้ออ้างหาเหตุในการขายหุ้นเท่านั้น ที่ผ่านๆ มาช่วงเดือน พ.ค. กระทั่งไปจนถึงเดือน ต.ค. ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกไม่ดีอยู่แล้ว ยิ่งปีนี้ประเทศสหรัฐกำลังใกล้เข้าสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดีช่วงปลายปี คนยิ่งไม่กล้าเสี่ยงนำเงินไปลงทุน ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ยังอยู่ระดับสูงมาก (5.25-5.50%) แรงจูงใจที่จะย้ายเงินออกมาลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตัดสินใจ แล้วผลกระทบจากดอกเบี้ยที่สูงนี้ก็ยังถือเป็นความเสี่ยงต่อเนื่องไปยังภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันอีกด้วย" นายกวี ชูกิจเกษม กล่าว
พร้อมระบุ ตราสารหนี้ถือเป็นตัวเลือกการลงทุนที่น่าสนใจภายใต้คาดการณ์ว่า ในที่สุดอัตราดอกเบี้ยจะต้องปรับลดลง เพียงแค่ไม่มีความแน่นอนว่าจะปรับลงช่วงไหนของปีนี้ซึ่งยังเหลือรอบพิจารณาอีก 4 ครั้งได้แก่ในเดือน มิ.ย., ก.ค., ก.ย. และ พ.ย.
สำหรับหุ้นต่างประเทศที่น่าจับตามองคือ จีน ซึ่งด้วยพื้นฐานแล้วเศรษฐกิจจีนสามารถโตได้ด้วยโครงสร้างที่เป็นอยู่อยู่แล้ว ที่ผ่านมามีภาวะโรคระบาดโควิด-19 และต่อมาก็เผชิญกับปัญหาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ตัวเลขจีดีพีก็ขยายตัวได้โดยมีหลายภาคส่วนกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจประคับประคองไว้เช่นภาคโรงงานอุตสาหกรรมการผลิต ภาคยานยนต์ไฟฟ้า ภาคพลังงานสะอาด และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ก็ยังมีอยู่
"หุ้นจีนถูกมาก แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่า ถ้าซื้อหุ้นในตลาดหุ้นจีนแล้วราคาหุ้นจะขึ้นได้ไหม และปรับขึ้นไปได้เท่าไหร่ ปัจจัยที่จะทำให้ตอบคำถามเหล่านี้ได้ขึ้นอยู่กับแผนดำเนินยุทธศาสตร์และนโยบายของรัฐบาลจีนที่มีนายสี จิ้นผิง เป็นผู้นำในตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งสามารถเลือกกำหนดความเข้มงวดหรือผ่อนปรนมาตรการต่างๆ ที่จะกระตุ้นตลาดทุนได้ในระดับที่อาจทำให้ราคาหุ้นจีนทะยานเป็นเท่าตัวได้เลย" มุมมองจาก นายกวี ชูกิจเกษม
ด้านสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนก็น่าจะยังคงอยู่ต่อไปโดยวิเคราะห์ว่า ผลกระทบจากความขัดแย้งอันยืดเยื้อจะยังไม่รุนแรงถึงขั้นกดดันเศรษฐกิจทั้งโลกได้ ไม่ว่าปลายปีนี้ใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำคนใหม่ของสหรัฐก็ตาม
อีกทั้งวิเคราะห์เชิงมหภาคว่า "วันนี้อาเซียนมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจโลกมากขึ้นซึ่งจีนก็ตระหนักในประเด็นนี้ และย่อมก่อให้เกิดการสานความสัมพันธ์เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน ไม่เพียงแต่บริษัทขนาดใหญ่เช่น ไมโครซอฟท์ ตระเวนประกาศพร้อมเข้าลงทุนมหาศาลกับหลายประเทศในอาเซียน ทาง แอปเปิล ก็เคยเดินสายเยี่ยมเยือนประเทศในภูมิภาคนี้รวมถึงไปที่จีนด้วย"
ด้านโอกาสของประเทศไทย เชื่อว่า อนาคตจะได้เห็นการเข้ามาลงทุนจากบริษัทระดับโลก ในส่วนของระบบจัดเก็บข้อมูลรูปแบบคลาวด์ ซึ่งนอกจาก ไมโครซอฟท์ แล้ว คาดจะมีบริษัทขนาดใหญ่ระดับโลกอื่นๆ สนใจเข้ามาพิจารณาเลือกลงทุนอีก เนื่องจากประเทศไทยได้เปรียบเชิงภาพลักษณ์ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอย่างชัดเจน ขณะที่หลายประเทศในภูมิภาคมีท่าทีต่างออกไปบริษัทที่ต้องการปิดกันความลับทางธุรกิจจากการสอดแนมโดยฝั่งสหรัฐจึงยังแคลงใจ หรือกระทั่งในทางกลับกันบริษัทที่ต้องการปิดกันความลับทางธุรกิจจากจีนก็ยังมองประเทศไทยเป็นตัวเลือกที่น่าไว้ใจได้
อีกทั้งประเทศไทยมีภูมิศาสตร์-สภาพอากาศเหมาะสมสอดรับการวางโครงสร้างด้านพลังงานสนับสนุนระบบดาต้าไอทีที่จำเป็นต้องเสถียรที่สุด โดยเฉพาะเงื่อนไขการเข้ามาลงทุนระบบจัดเก็บในรูปแบบคลาวด์ของบริษัทระดับโลกกำหนดให้ต้องใช้พลังงานสีเขียว (พลังงานสะอาด) เท่านั้น และมีนโยบายเน้นใช้ไฟฟ้าจากแหล่งผลิตพลังงานของตนเอง ประจวบกับพื้นที่ประเทศไทยมีแสงแดดที่ให้ค่าพลังงานเข้มทุกฤดูกาล มีพื้นที่จำนวนมากเพียงพอ อุณหภูมิไม่ผันผวนจัด กฎหมายและนโยบายประเทศเอื้ออำนวย และมีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานที่ได้มาตรฐานรองรับ
"ถึงแม้ภาพรวมตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างนี้ แต่หากมองเป็นรายตัวหรือตัวรายกลุ่ม หุ้นไทยที่เกี่ยวข้องได้ประโยชน์กับสถานการณ์นี้ก็ยังมีอยู่ และน่าจะให้ผลตอบแทนโดดเด่นกว่าตลาดได้ เสน่ห์มันยังมีอยู่ โอกาสก็คือถ้าจู่ๆ หุ้นพื้นฐานดีตัวไหนราคาปรับลงมาแรงๆ นั่นแหละเป็นจังหวะซื้อเพื่อรอทำกำไร" นายกวี ชูกิจเกษม กล่าวทิ้งท้ายแนะนำกลยุทธ์การลงทุน