เดอะวิสดอมกสิกรไทย ชวนจับตาเปลี่ยนขั้วเศรษฐกิจ และการลงทุนโลก
"เดอะวิสดอมกสิกรไทย" มองการเมืองยุโรป-สหรัฐ เปลี่ยนขั้ว จับสัญญาณโอกาสน่าลงทุน หลังดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง และจะเห็นค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าในช่วงนี้ แต่หลังจากเลือกตั้งจบแล้ว ดอลลาร์อาจจะกลับมาแข็งได้ใหม่
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า ทั่วโลกมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีบทบาทบนเวทีโลก เริ่มตั้งแต่ผลการเลือกตั้งของสหราชอาณาจักร "พรรคแรงงาน" ได้รับชัยชนะไป ซึ่งเป็นการได้รับชัยชนะครั้งแรกในรอบ 14 ปี และหลังจากที่ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ ก็เกิดคำถามตามมาว่านโยบายการลงทุนการค้ากับอียูจะเป็นอย่างไร และล่าสุดสหรัฐที่จะมีการเลือกตั้งกันในปลายปีนี้ และทั่วโลกกำลังกังวลว่า นโยบายการลงทุนการค้าในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร
บุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวในงาน THE WISDOM Wealth Decoded Talked ในหัวข้อ "การเลือกตั้งทั่วโลกปี 2024 จับตาการลงทุนและความท้าทายที่รออยู่" กล่าวว่า หากการเลือกต้ังสหรัฐครั้งนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการเลือกตั้งในครั้งนี้มีความเสี่ยงต่อการค้าโลกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐ ทำให้เกิดความผันผวน เนื่องจากความเสี่ยงเชิงนโยบายของทรัมป์ค่อนข้างเยอะมาก ซึ่งมีความไม่แน่นอนว่าทรัมป์จะทำเท่านี้แล้วหยุดหรือไม่ หรือจะทำเพิ่มขึ้นไปอีก หรือเรียกได้ว่าสามารถทำให้เข้มข้นได้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะฉะนั้นการค้าโลกจะมีผลกระทบลบค่อนข้างเยอะ ซึ่งถ้ามองไปแล้ว กมลา แฮร์ริส น่าจะดีกับเศรษฐกิจโลกมากกว่า
"ทรัมป์กลับมาการค้าโลกจะแปรปรวนและผันผวนมาก เนื่องจากทรัมป์บอกว่า วันแรกที่เข้ามาจะขึ้นภาษีนำเข้าภาษีจากจีนทุกอย่างเพิ่มเป็น 60% ซึ่งครั้งที่แล้วได้มีการปรับขึ้นในสินค้าบางอย่าง 20% รวมถึงเม็กซิโกที่ต้องเตรียมรับแรงกระแทกไปด้วย ขณะที่ประเทศอื่นๆ จะถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 10%"
ขณะที่ "แฮร์ริส" มีนโยบายที่แตกต่างจากทรัมป์ ในด้าน เฮลท์แคร์ ราคาถูกลง ประชาชนจะเข้าถึงยาได้มากขึ้น เพราะถ้าประชากรสหรัฐหากไม่มีประกันค่ารักษาพยาบาลจะค่อนข้างแพง และจะเข้ามาช่วยเรื่อง อสังหาริมทรัพย์ โดยมีเงินดาวน์ให้ และสร้างบ้านหลังแรกให้มากขึ้น
ในส่วนของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมา หลักๆ มาจากดอลลาร์ที่อ่อนตัวลง เนื่องจาก เฟด พร้อมที่จะลดอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงมา 2 ปี ซึ่งขณะนี้อัตราดอกเบี้ยสหรัฐถือว่าสูงที่สุดในรอบ 23 ปี ซึ่งตลาดมองว่าสหรัฐจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 8 ครั้ง ปีนี้ 3 คาดว่าจะปรับลดลงถึง 3 ครั้ง รวมถึง unwind carry trade ของเงินเยน ดังนั้น ทำให้ช่วงนี้ดอลลาร์อยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า
ส่วนอีกด้านหนึ่งราคาทองคำขณะนี้สูง เกิดจากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มว่าจะปรับตัวลดลงมา แต่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมา อย่างไรก็ตามในระยะยาวหากมีสงครามการค้าเข้ามาให้ค่าเงินบาทแข็งค่าในระยะสั้นได้ รวมถึงค่าเงินในภูมิภาคก็จะอ่อนค่าลงไปด้วย จึงเป็นจังหวะในการลงทุนที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สกุลบาท
สำหรับเทรนด์การลงทุน กลุ่มเฮลท์แคร์ยังสามารถไปได้ รวมถึงกองทุนตราสารหนี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเป็นขาลงทุนไม่ว่าใครจะแพ้หรือชนะยังคงไปได้ โครงสร้างพื้นฐานและกรีนเทคโนโลยี แม้ว่าในตอนแรกราคาอาจจะแพงแต่ปัจจุบันราคาเริ่มจับต้องได้ เพราะหากหันมาขับรถไฟฟ้าก็จะประหยัดกว่า และถ้าใช้โซลาร์พาแนลค่าไฟก็ย่อมถูกกว่าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้วทำไมทุกคนจะไม่ใช้ นอกจากนี้ Climate Change ก็ยังอยู่ในเมกะเทรนด์ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ เทรนด์การใช้ดาต้าเซ็นเตอร์กำลังมา ดังนั้น Cloud ก็ต้องมา การเก็บข้อมูล การประมวลผลข้อมูลมีความจำเป็น ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังมา และจะอยู่ไปอีกยาว ในอนาคตผู้คนจำเป็นที่จะต้องมีการใช้ AI เข้ามาช่วย
"ดอกเบี้ยกำลังอยู่ในช่วงขาลง และจะเห็นค่าเงินดอลลาร์แนวโน้มอ่อนค่าลงในช่วงนี้ แต่หลังจากที่มีการเลือกตั้งจบแล้ว ดอลลาร์อาจจะกลับมาแข็งได้ใหม่ เพราะฉะนั้นจึงเป็นจังหวะที่มีเงินบาทเยอะนำไปลงทุนในกองทุนที่ไม่มีการเฮดค่าเงินไว้ หรือลงทุนในเฮลท์แคร์, เมกะเทรนด์ และเอไอในระยะยาว แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง จึงอยากให้เน้นกระจายความเสี่ยง"