แอ่วสัมมนาเมืองเหนือ...เพิ่มโอกาสเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs
เมื่อ 8 ส.ค 2567 แบงก์ชาติ สำนักงานภาคเหนือ (สภน.) ได้จัดงานสัมมนาประจำปี โดยผู้ว่าการได้กล่าวเปิดงานสื่อถึงรูปแบบงานที่เน้นเชิงปฏิบัติการ และตอบโจทย์สำคัญของพื้นที่ โดยเฉพาะเสียงสะท้อนถึงข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs
แบงก์ชาติเห็นความสำคัญของผู้ประกอบการ SMEs มาโดยตลอด ซึ่งสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการสร้างงานและการแก้ความเหลื่อมล้ำ จึงต้องสร้างโอกาสให้ SMEs เติบโต
แบงก์ชาติมีบทบาทเสมือนการสร้างถนนเชื่อม SMEs และสถาบันการเงิน (สง.) ให้เข้าใจความคาดหวังระหว่างกันและขยับเข้าใกล้กันมากขึ้น รวมทั้งให้ SMEs เห็นทางเลือกในการปรับตัวเพิ่มโอกาสเข้าถึงสินเชื่อ
ทาง สภน. นำโดยคุณพรวิภา ตั้งเจริญมั่นคง ผู้อำนวยการอาวุโส ร่วมกับคุณศรันยา อิรนพไพบูลย์ และคุณปราณี จิระกิตติเจริญ ผู้วิเคราะห์อาวุโส สะท้อนงานศึกษาที่ได้ลงพื้นที่พูดคุยกับ SMEs ใน 4 จังหวัด (เชียงใหม่ ลำพูน ลำปางและพะเยา) พบว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กลุ่มตัวอย่าง SMEs 47% ยังไม่ได้ใช้สินเชื่อ แบ่งเป็น 3 กลุ่มย่อย คือ
1.กลุ่มไม่รู้ เช่น ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นคุยกับ สง. อย่างไร ไม่รู้จักผลิตภัณฑ์สินเชื่อ
2.กลุ่มไม่แน่ใจ เช่น คิดว่าตัวเองอาจจะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะกู้ได้
3.กลุ่มถูกปฏิเสธการให้สินเชื่อ เนื่องจากมีประวัติค้างชำระ ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้
หากกลุ่มที่มีศักยภาพได้รับการเสริมความรู้ทางการเงินที่ตรงจุด จะเพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ทาง สภน. จึงได้นำเสนอเครื่องมือเพื่อช่วยแก้ปัญหา กล่าวคือ แบบทดสอบตนเองในการประเมินโอกาสในการขอกู้ ศูนย์รวบรวมผลิตภัณฑ์ทางการเงินสำหรับ SMEs และศูนย์รวบรวมเครื่องมือด้านการเงิน
รวมทั้งยังได้จัดทำโครงการคลินิกเสริมแกร่งการเงิน SMEs ซึ่งเป็นโครงการเชิงปฏิบัติการนำร่อง โดยได้รับความร่วมมือจาก ธ.กสิกรไทย และ ธ.ออมสิน
SMEs ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการจะได้รู้จักตนเอง ผ่านการทำแบบทดสอบประเมินคุณสมบัติเบื้องต้นในการยื่นขอกู้ โดยกลุ่มที่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติสามารถเข้าสู่กระบวนการขอสินเชื่อกับธนาคารได้ซึ่งหากมีความพร้อมก็จะได้รับสินเชื่อ แต่หากยังไม่มีความพร้อมก็จะต้องพัฒนาปิดจุดอ่อน ก่อนกลับไปยื่นขอสินเชื่อใหม่
เช่นเดียวกับกลุ่มที่ไม่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติแต่แรกก็ต้องพัฒนาปิดจุดอ่อน โดยสามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือเสริมทักษะต่าง ๆ ซึ่ง สภน. ได้รวบรวม link ไว้ให้ในเอกสารประกอบการสัมมนา รวมทั้งสามารถขอคำปรึกษาได้ฟรีจาก FA Center ของ บสย. และหมอหนี้ ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการขอสินเชื่อกับธนาคาร
ในช่วงเสวนา ประกอบด้วย คุณธนพงศ์ วงศ์ชินศรี กรรมการผู้จัดการบริษัท เพนกวินเอ็กซ์คุณณวิสาร์ มูลทา ผู้ก่อตั้ง I Love Flower Farmและ คุณพิภวัตว์ ภัทรนาวิก รองผู้จัดการใหญ่ผู้บริหารสายงานร่วม ธ.กสิกรไทย ซึ่งใน web site แบงก์ชาติ สรุปประเด็น “พลิกความท้าทายเป็นโอกาส ต่างมุมมองการเข้าถึงสินเชื่อ” จากการเสวนาไว้ ดังนี้
มุมมองผู้ประกอบการ
คุณธนพงศ์ เห็นว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ด้านการเงินและการทำธุรกิจ
1.ควรมีการปลูกฝังพื้นฐานการทำธุรกิจและการเงินในระบบการศึกษา สง. ควรให้ความรู้วิธีการพิจารณาสินเชื่อ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และหากถูกปฏิเสธสินเชื่อ
2.สง. ควรให้คำแนะนำว่าต้องปรับปรุงอย่างไร รวมถึงความแตกต่างของ SMEs ที่อาจจะไม่สามารถใช้เกณฑ์พิจารณาสินเชื่อเดียวกันได้
3.ต้องการให้เพิ่มการประชาสัมพันธ์โครงการด้านการเงินทั้งหน่วยงานภาครัฐและ สง.เพื่อเปิดโอกาสให้ SMEs ได้เข้ามาเรียนรู้ และสร้างแรงจูงใจให้พัฒนาตนเองเพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงสินเชื่อ
คุณณวิสาร์ ให้ความเห็นว่า ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. เป็นพี่เลี้ยง ช่วยสนับสนุนสินเชื่อและสร้าง connection กับธุรกิจอื่นและหน่วยงานวิจัยภาครัฐ ทำให้ธุรกิจเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน และมองว่าธุรกิจควรปรับตัวด้วยการ
4.สร้างตัวตนให้มีแบรนด์ที่ลูกค้าจำได้
5.จัดทำแผนธุรกิจที่ชัดเจน
6.ให้ความสำคัญกับระบบการเงินหลังบ้านเพื่อให้มีหลักฐานทางการเงิน
7.มีการวิเคราะห์ความเสี่ยงและลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจ
8.นำเทคโนโลยีมาช่วยในการผลิต จะช่วยเพิ่มความสามารถในการกำหนดราคา
มุมมองสถาบันการเงิน
คุณพิภวัตว์ เห็นว่าการพิจารณาสินเชื่อ SMEs รายใหญ่และรายเล็กมีความแตกต่างกันรายเล็กไม่มีงบการเงินและเอกสารหลักฐานไม่ครบถ้วนเท่ารายใหญ่ ธนาคารจะใช้การให้คะแนน (credit scoring) และเทียบเคียงกับค่ากลางของธุรกิจเดียวกันเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา รวมทั้งเปิดมุมมองของ สง. ถึง 4 ปัจจัยหลักที่ใช้พิจารณาสินเชื่อ ได้แก่
9.คุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อ ลูกค้าต้องรักษาประวัติไว้ให้ดี และหลักฐานทางการเงินหรือการเดินบัญชีจะช่วยให้พิจารณาสินเชื่อง่ายขึ้น
10.แผนธุรกิจต้องชัดเจนและเป็นไปได้ รวมทั้งคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
11.กระแสเงินสด เป็นปัจจัยสำคัญที่ธนาคารใช้คำนวณวงเงินกู้และค่างวดในทางปฏิบัติสำคัญกว่าการทำกำไรหรือขาดทุน
12.หลักประกัน สง. มองว่าเป็นการแสดงความตั้งใจในการรักษาและต่อยอดธุรกิจ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การค้ำประกันหนี้
แบงก์ชาติมีความตั้งใจในการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ที่เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก จากผลประกอบการไม่แน่นอน ประวัติทางการเงินไม่เพียงพอ ขาดหลักประกัน
ทางคุณสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ได้กล่าวถึงแนวทางแก้ปัญหา คือ
(1) กลไกค้ำประกันเครดิตที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยรองรับความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อ SMEs
(2) ข้อมูลประกอบการพิจารณาที่ครบถ้วนขึ้น โดยการเปิดกว้างให้ใช้ประโยชน์จากข้อมูล (open data) ที่ผู้ใช้บริการสามารถใช้สิทธิส่งข้อมูลตนเองให้แก่ผู้ให้บริการรายอื่นได้ จะช่วยให้ SMEs เข้าถึงสินเชื่อได้สะดวกขึ้น ด้วยต้นทุนที่สอดคล้องกับความเสี่ยง
ทั้งหมดนี้ เป็นส่วนหนึ่งของงานแบงก์ชาติในการรับฟังและแก้ปัญหาของประชาชน โดยเฉพาะคนท้องถิ่นผ่านสำนักงานภาคค่ะ ท้ายนี้ อย่าลืมติดตามงานสัมมนาของสำนักงานภาคใต้กันต่อด้วยนะคะ
บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด