‘ท๊อป จิรายุส’ เตือน 4 เทรนด์มหากาฬพลิกโฉมไทย-โลก รัฐ-เอกชนเร่งร่วมมือก่อนสายเกินแก้

‘ท๊อป จิรายุส’ เตือน 4 เทรนด์มหากาฬพลิกโฉมไทย-โลก รัฐ-เอกชนเร่งร่วมมือก่อนสายเกินแก้

"ซีอีโอบิทคับ" ชี้ 4 แนวโน้มสำคัญกระทบประเทศไทยและโลกในอนาคตอันใกล้ ทั้งการเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์สู่ภูมิภาคนิยม การปรับเปลี่ยนสัญญาประชาคมรับมือสังคมสูงวัย การปฏิวัติดิจิทัลเปลี่ยนโครงสร้างการทำงาน และการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว เรียกร้องความร่วมมือรัฐ-เอกชนเร่งปรับตัวก่อนสายเกินแก้

ช่วงที่ผ่านมาเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมากซึ่งมีผลโดยตรงต่อทั้งเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก โดยเมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2567 นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและซีอีโอบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน “BITKUB SUMMIT GALA NIGHT” เน้นย้ำถึง 4 แนวโน้มสำคัญของโลกที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ พร้อมเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายที่กำลังจะมาถึง

1. การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์:

นายจิรายุสชี้ให้เห็นว่าโลกกำลังเคลื่อนจาก 'โลกาภิวัตน์' สู่ 'ภูมิภาคนิยม' หรือ Regionalization โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนที่กำลังมีการรวมตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้น เขากล่าวถึงข้อตกลง DEFA (Digital Economy Framework Agreement) ที่อาเซียน 10 ประเทศกำลังจะลงนามร่วมกันในปี 2025 ซึ่งจะนำไปสู่การเป็น "One Asean" อย่างแท้จริง โดยมีการคาดการณ์ว่าจะมีการไหลเวียนของสินค้าและบริการอย่างเสรีทั่วภูมิภาค การใช้ระบบศุลกากรร่วมกัน และการเคลื่อนย้ายแรงงานที่มีทักษะอย่างเสรี นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่จะเกิดระบบการชำระเงินข้ามพรมแดนที่เชื่อมโยงกันทั่วอาเซียน

2. การปรับเปลี่ยนสัญญาประชาคม:

สังคมผู้สูงอายุและรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไปจะนำไปสู่การทบทวนระบบสวัสดิการและประกันสังคมครั้งใหญ่ นายจิรายุสอ้างถึงการคาดการณ์ว่าภายใน 50 ปีข้างหน้า ประชากรไทยจะเหลือเพียง 33 ล้านคน โดยมีสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งจะสร้างภาระให้กับวัยแรงงานมากขึ้น นอกจากนี้ รูปแบบการทำงานแบบ "Nano Enterprise" ที่คนหนึ่งคนอาจทำงานให้กับหลายบริษัทในเวลาเดียวกัน จะท้าทายระบบประกันสังคมและสวัสดิการแบบเดิม เขาเน้นย้ำว่าสังคมจำเป็นต้องทบทวนและปรับเปลี่ยน "สัญญาประชาคม" ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงนี้

 

3. การปฏิวัติดิจิทัล:

เทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะ AI, Big Data, 3D Printing, IoT, Blockchain และเทคโนโลยีอื่นๆ จะเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานและการผลิตอย่างมาก นายจิรายุสอ้างถึงการคาดการณ์ว่าภายใน 5 ปี 44% ของงานปัจจุบันจะถูกระบบอัตโนมัติแทนที่ เขาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "Digital Revolution" ซึ่งไม่ใช่แค่การพัฒนาต่อยอดจากเทคโนโลยีเดิม แต่เป็นการสร้างระบบและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลให้เกิดโมเดลธุรกิจใหม่ๆ และเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานอย่างสิ้นเชิง นายจิรายุสเน้นว่าประเทศและองค์กรที่สามารถปรับตัวและนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะมีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างมาก

4. การเปลี่ยนผ่านสู่โลกสีเขียว:

นายจิรายุสคาดการณ์ว่าภายใน 6 ปี มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมจะมีผลบังคับใช้อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในเรื่องของการลดการปล่อยคาร์บอน เขายกตัวอย่างว่าบริษัทของเขาเองก็ต้องลงทุนเพิ่มเติมเพื่อให้เป็น "Green Exchange" และคาดว่าในอนาคตอันใกล้ ทุกบริษัทจะต้องลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ (Net Zero) มิฉะนั้นจะไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ นายจิรายุสเน้นย้ำว่าการเปลี่ยนผ่านสู่สีเขียวนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อม แต่เป็นเงื่อนไขสำคัญในการดำเนินธุรกิจในอนาคต ซึ่งจะส่งผลกระทบตั้งแต่การผลิต การส่งออก ไปจนถึงการระดมทุนและการลงทุน

 

ทั้งนี้ เขาเน้นว่าการรับมือกับความท้าทายทั้ง 4 ประการนี้เป็นสิ่งที่ภาครัฐหรือภาคเอกชนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถทำได้โดยลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วน เขาเรียกร้องให้มีการสร้าง "Public-private Partnership" หรือความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับการปฏิวัติดิจิทัลและการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว

นอกจากนี้ เขายังเน้นย้ำถึงความเร่งด่วนในการปรับตัว โดยกล่าวว่าเวลาที่เหลืออยู่ไม่มากนัก และประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งดำเนินการในทุกด้านเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันและความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว

ท้ายที่สุด นายจิรายุสได้เรียกร้องให้ผู้นำทั้งในภาครัฐและเอกชนตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น และร่วมมือกันในการวางแผนและดำเนินการเพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน