นโยบาย‘ทรัมป์’ทุบ‘ทองคำ’ดิ่ง ‘กูรู’คาดราคาเป็น‘ขาลง’ถึงต้นปีหน้า !
นโยบาย‘ทรัมป์’ทุบ‘ทองคำ’ดิ่ง ‘กูรู’คาดราคาเป็น‘ขาลง’ถึงต้นปีหน้า ! กรอบแนวบน 43,900 บาท แนวต้านระยะสั้น ส่วน 43,000 บาท เป็นแนวรับระยะสั้น ส่วนทองคำตลาดโลกมีโอกาสแนวรับระยะสั้นที่ 2,620 ดอลลาร์ และแนวต้าน 2,690 ดอลลาร์
นับตั้งแต่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้รับชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ !! “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven) อย่าง “ทองคำ” ที่ราคาดิ่งแรงลงต่อเนื่อง จากแรงกดดันดอลลาร์แข็งค่าขึ้นรวดเร็ว จากความกังวลนโยบายการเงินของทรัมป์ สอดคล้องกับ “กูรู” ให้มุมมองว่า จังหวะนี้อาจจะไม่ใช่ทิศทาง “ขาขึ้น” ของทองคำและลากยาวต่อเนื่องจนถึงต้นปี 2568
“นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ” ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท MTS GOLD แม่ทองสุก เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า นับจากนี้ไปจนถึงปลายปี 2567 มุมมองต่อราคาทองคำเริ่มเปลี่ยนไป ! หลังราคาทองคำกำลังเข้าสู่โหมดการ “ปรับฐานทำกำไร” จากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเร็วมาก จึงนำมาสู่การเทขายทองคำในตลาดออกมาค่อนข้างแรง
หากย้อนดูราคาทองคำช่วงก่อนเลือกตั้งอยู่ที่ระดับ 2,740 ดอลลาร์ แต่หลังเลือกตั้งสหรัฐเสร็จสิ้น “ทำต่ำสุด” ที่ 2,650 ดอลลาร์ ขณะที่ “ทองคำไทย” ร่วงแรงจาก 44,000 บาท ลงมาที่ 43,200 บาท แม้ช่วงวันที่ 8 พ.ย. ที่ผ่านมา ราคาทองไทยดีดกลับขึ้นมาบ้าง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% แต่โดยภาพรวมตลาดเริ่มมี “ความกังวล” ว่า ทรัมป์มาจะทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
“ในช่วงนี้จนถึงสิ้นปี 2567 ทองคำจะเข้าสู่โหมดการปรับฐานทำกำไร ซึ่งไม่ได้มองว่าทองคำจะเข้าสู่ขาลง แต่หมายความว่า ทองคำมีโอกาสหยุดขึ้น และอาจจะเหวี่ยงในกรอบแนวบน 43,900 บาท แนวต้านระยะสั้น ส่วน 43,000 บาท เป็นแนวรับระยะสั้น ส่วนทองคำตลาดโลกมีโอกาสแนวรับระยะสั้นที่ 2,620 ดอลลาร์ และแนวต้าน 2,690 ดอลลาร์”
ดังนั้น แนะนำให้นักลงทุนขายทำกำไร และหยุดรอดูความชัดเจนของตลาดให้เล่นตามกรอบไซด์เวย์ ช่วงนี้อาจจะไม่ใช่ทิศทาง “ขาขึ้น” จากนี้จนถึงต้นปี 2568 และหลังจากที่ทรัมป์รับตำแหน่ง 20 ม.ค.2568 ตอนนั้นค่อยมาวิเคราะห์ในภาพใหญ่กันอีกครั้ง แต่ระหว่างนี้นักลงทุนสามารถซื้อสะสมในรูปแบบ DCA หรือเป็นลักษณะการออม
“อิศรา พูฒตาลศรี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ดาโอ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นมาตลอดก่อนหน้านี้ ส่วนหนึ่งมาจากจีโอโพลิติกของโลกที่สนับสนุนราคาทองคำ แต่ทว่าหลังจาก“ทรัมป์”รับชัยชนะ ส่งผลให้ทองคำมีการปรับตัวร่วงลงมา ดังนั้น นักลงทุนควรแบ่งพอร์ตของการลงทุนในทองคำถือเป็นทางเลือกที่ดี ในการกระจายการลงทุนหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทองคำจะเป็นตัวซัพพอร์ตได้
สำหรับ “กองทุนทองคำ” มีหลายรูปแบบทั้งแบบธรรมดาและ RMF โดยกองทุน RMF ทองคำจะได้สิทธิในการลดหย่อนภาษีเข้ามา เพียงแต่ว่านักลงทุนอาจจะต้องถือครองค่อนข้างยาว หรือหากทำกำไรในกองทุน RMF ทองคำเป็นที่พอใจแล้ว อาจจะสวิตซ์สัปเปลี่ยนไปยังกองทุน RMF กองทุนอื่นแทนได้
อย่างไรก็ดี มองว่าทิศทางทองคำมีแนวโน้มพุ่งขึ้นไปต่อได้ จากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ของโลก (geopolitics) ในส่วนของสหรัฐเองยังมีการขาดดุลงบประมาณค่อนข้างสูง ซึ่งทรัมป์อาจจะมีนโยบายปรับลดภาษี ดังนั้น นักลงทุนควรมีทองคำอยู่ในพอร์ตติดไว้บ้างแต่ไม่ควรเกิน 10%
“เกษตร ชัยวันเพ็ญ” ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บลจ. เอ็มเอฟซี หรือ MFC ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ราคาทองคำมีการปรับขึ้นมาที่ระดับ 2,700 ดอลลาร์ และบางบทวิเคราะห์มองว่า อาจจะมีการปรับขึ้นไปถึง 3,000 ดอลลาร์ ส่วนตัวมองว่า มีโอกาสเป็นไปได้ ดังนั้น นักลงทุนควรมีการออมทองคำ หรือกองทุน RMF ทองคำไว้ประมาณ 10-15%
“หากใครยังไม่มีกองทุน RMF ทองคำสามารถสะสมได้ แต่ถ้านักลงทุนมีไว้ในพอร์ตแล้ว ลองดูว่ามีประมาณ 10-15% แล้วหรือยัง”
สำหรับ นักลงทุนที่อายุน้อยสามารถลงทุน RMF ที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นได้ค่อนข้างมาก แต่ทว่ามีอายุมากขึ้นอาจจะต้องลดความเสี่ยงของกองทุน RMF ในตราสารหนี้ได้