Netflix กับการลงประเดิมสนาม ‘Live Sports’ และโอกาสเป็นยักษ์ใหญ่ในโลกกีฬา
Netflix(เน็ตฟลิกซ์)กับการลงประเดิมสนาม ถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬา (Live sports)อย่างเต็มตัว และโอกาสเป็นยักษ์ใหญ่ในโลกกีฬา
KEY
POINTS
Key points
- ถ้าเปรียบการถ่ายทอดสดไฟต์ระหว่างเจค พอล กับไมค์ ไทสันเป็นการลงประเดิมสนามของนักกีฬาหน้าใหม่ ก็ถือว่าทำผลงานได้อย่างโดดเด่นเกินความคาดหมายของผู้ชมอยู่พอสมควร
- Netflix จะถ่ายทอดสดการแข่งขันอเมริกันฟุตบอล “เกมวันคริสต์มาส” (Christmas Day) ประจำปี 2024 และ 2025 ที่ประเมินแล้วเป็นเงินถึงปีละ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (5.2 พันล้านบาท) รวมถึงมวยปล้ำ WWE ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป
- เท็ด ซารานโดส Co-CEO ของ Netflix บอกเมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่าตอนนี้ยังไม่มีแผนสำหรับการลุยตลาดลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดกีฬาจริงจัง
- สิ่งที่ Netflix ทำคือการมองหาความแตกต่าง (Differentiate) และเอาชนะ (Outcompete) ทุกคนด้วยวิธีที่แตกต่างอย่างเรื่องของ Storytelling of sports หรือการบอกเล่าเรื่องราวของกีฬาที่มากกว่าแค่ผลการแข่งขัน และเรื่องดราม่าในเกมกีฬา Drama of sports
60 ล้านครัวเรือนคือจำนวนตัวเลขผู้ชมการถ่ายทอดสดศึกคู่มวยหยุดโลก (แม้ในวงการมวยจะไม่อยากใช้คำนี้เรียกก็ตามเถอะ) ระหว่างเจค พอล YouTuber คนดังของยุคกับ “มฤตยูดำ” ไมค์ ไทสัน ตำนานกำปั้นเหล้กผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งเท่าที่โลกนี้เคยมีมา จำนวนตัวเลขผู้ชมดังกล่าว - ซึ่งในช่วงพีคที่สุดมีจำนวนผู้ชมพร้อมกันแตะถึงระดับ 65 ล้านคน - เป็นจำนวนตัวเลขที่ทำให้ผู้บริหารของ Netflix แพลตฟอร์มสตรีมมิงความบันเทิงระดับโลกยิ้มแก้มปริเลยทีเดียว
เพราะนี่ถือว่าเป็นความสำเร็จที่เกินความคาดหมายไปมาก สำหรับคู่มวยที่ไม่ต่างอะไรจาก “มวยโชว์” ที่ไม่ได้เป็นไฟต์ที่มีความจริงจังในเชิงคุณค่าของการแข่งขันกีฬาจริงๆก็ตาม ไม่นับเรื่องที่มีเสียงตำหนิจากผู้ชมจำนวนมากที่ประสบปัญหาในการรับชม เช่น ภาพค้าง หรืออื่นๆอีกมากมาย
ความสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องของความบังเอิญหรือโชคดี แต่มาจากการทำงานในเบื้องหลังที่จริงจังของ Neflix ที่ถึง ณ เข็มนาฬิกาเดินไปนี้เราสามารถบอกได้ว่าพวกเขาได้ประเดิมการลงสนามในตลาดการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬา (Live sports) อย่างเต็มตัว
ที่ผ่านมา Netflix ทำอะไรมาแล้วบ้าง และหลังจากนี้พวกเขาตั้งใจจะทำอะไรต่อไปกับตลาดใหม่ที่มาพร้อมกับกลุ่มผู้ชมหน้าใหม่ที่มีจำนวนมากมายมหาศาลทั่วโลก?
ในไฟต์ระหว่าง เจค พอล YouTuber ที่มีจำนวนผู้ติดตามหลายสิบล้านคนทั่วโลก กับ ไมค์ ไทสัน ตำนานนักชกผู้เคยได้รับสมญาว่า “Baddest guy in the world” กลายเป็นไฟต์ใหญ่ที่สุดในรอบปี 2024 โดยไม่ต้องสงสัย
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะวงการมวยในช่วง 1-2 ปีให้หลังมานี้ซบเซาไม่มีมวยแม่เหล็กที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกต้องหยุดสิ่งที่ทำเพื่อรอรับชมได้สักเท่าไร แต่อีกส่วนต้องยอมรับว่าการจับคู่ระหว่าง พอล และไทสัน ถือเป็นการคิด “คอนเทนต์” ที่เก่งกาจ
ระหว่างนักมวยที่แม้จะเอาจริงเอาจังกับการฝึกซ้อมและผ่านการขึ้นเวทีมานับสิบครั้งแต่ก็ไม่เคยได้รับการยอมรับจากคนในวงการหรือแฟนๆสักเท่าไร กับตำนานวัยดึกที่อายุอานามล่วงมาถึง 58 ปี แต่ยังปรารถนาที่จะได้กลับขึ้นสังเวียนอีกสักครั้ง
“ทุกอย่างมันเริ่มต้นจากคำถามบ้าๆว่า ผมจะเอาชนะไทสันได้ไหม” คือคำพูดจากพอล ในวัย 27 ปีซึ่งในความเป็นจริงแล้วคือผู้ร่วมก่อตั้ง MVP Promotions โปรโมเตอร์จัดการแข่งขันมวยคู่นี้ที่คิดไอเดียและนำไปเสนอให้แก่ Netflix แพลตฟอร์มสตรีมมิงระดับโลก
มันจะเป็นอย่างไรหากเราจะจัดการชกมวยคู่นี้ขึ้นมาโดยให้สมาชิกผู้สมัครบริการของ Netflix ชมการชกได้แบบฟรีๆ?
จำนวนสมาชิกที่ลงทะเบียนของ Netflix ทั่วโลกอยู่ที่ราว 262 ล้านคน (โดยที่หากนับรวมกลุ่มที่ “แชร์พาสเวิร์ด” แล้วอาจจะมีถึง 500 ล้านคน) ตัวเลขนี้คือจำนวนผู้ชมมหาศาลที่ไม่เคยมีไฟต์ของโคตรมวยโลกคู่ไหนจะมีคนดูมากขนาดนี้มาก่อน
Eyeball มหาศาลระดับนี้คือ “โอกาส” มหาศาลสำหรับ Netflix ที่ไม่สามารถปล่อยผ่านโอกาสไปได้
ที่ผ่านมาบริการสตรีมมิงซึ่งเริ่มจากการเป็นร้านเช่าวีดิโอในอดีตที่ปรับตัวจนกลายเป็นยักษ์ใหญ่ความบันเทิงของโลกเองก็เริ่มสนใจในการเจาะตลาดกีฬาอยู่แล้ว หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในสารคดีกีฬาชุดดัง “Formula 1: Drive to Survive” ที่เปิดเผยเรื่องราวเบื้องหลังของการแข่งรถฟอร์มูลา-วัน (F1) ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนให้แฟนกีฬา Gen Z หันมาสนใจกีฬามอเตอร์สปอร์ตชิดนี้
นอกจากนี้ยังมีสุดยอดสารคดีกีฬาก้องโลก “The Last Dance” ที่บอกเล่าเรื่องราวของ ไมเคิล จอร์แดน ตำนานตลอดกาลของวงการบาสเก็ตบอลและเป็นหนึ่งในนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่และเป็นแรงบันดาลใจของคนทั้งโลกในปี 2020
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Netflix มี Sport documentary ดีๆออกมากมาย จนกระทั่งเริ่มขยับเข้าสู่การถ่ายทอดสดกีฬาด้วยการชิมลางกับรายการกอล์ฟในรายการ “Netflix Cup” เมื่อปี 2023 และการแข่งขันเทนนิส “Netflix Slam” ที่จับเอา ราฟาเอล นาดาล ตำนานผู้ยิ่งใหญ่ของโลกเทนนิส (ที่เพิ่งอำลาวงการอย่างเป็นทางการเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา) กับทายาทสายตรงอย่าง คาร์ลอส อัลคาราซ มาแข่งขันกันเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา
การจับคู่กันระหว่างพอล กับไทสัน อาจจะไม่มีคุณค่าหรือความหมายในเชิงของกีฬา
แต่ในเชิงของความบันเทิงและความน่าสนใจแล้วมีมากมายมหาศาล
ตัวเลขผู้ชมไฟต์นี้ที่มากเป็นประวัติการณ์ถึง 60 ล้านคนที่ Netflix มีการเปิดเผยตัวเลขออกมาจึงเป็นตัวเลขที่ไม่เพียงแค่โปรโมเตอร์อย่าง MVP จะมีความสุข (เพราะไฟต์ถูกโปรโมตมานานเกือบปี และต้องเลื่อนการชกมาหลายเดือนเพราะไทสัน มีปัญหาสุขภาพ)
ผู้บริหารของ Netflix เองก็มีความสุขตามไปด้วย
ถ้าเปรียบการถ่ายทอดสดครั้งนี้เป็นการลงประเดิมสนามของนักกีฬาหน้าใหม่ ก็ถือว่าทำผลงานได้อย่างโดดเด่นเกินความคาดหมายของผู้ชมอยู่พอสมควร และสร้างความมั่นใจให้กับพวกเขาได้อย่างมาก เพราะหลังจากนี้ Netflix ได้เตรียมแมตช์ต่อไปของตัวเองเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ใกล้ที่สุดคือการทุ่มเงินมหาศาลสำหรับข้อตกลงกับ NFL เป็นเวลา 2 ปีในการถ่ายทอดสดการแข่งขันอเมริกันฟุตบอล “เกมวันคริสต์มาส” (Christmas Day) ประจำปี 2024 และ 2025 ที่ประเมินแล้วเป็นเงินถึงปีละ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (5.2 พันล้านบาท)
โดยเกมวันคริสต์มาสของ NFL จะมีให้ชม 2 คู่ในวันนั้นซึ่งเชื่อว่าจะมีจำนวนผู้ชมทั้งในสหรัฐอเมริกา และทั่วโลกที่รอชมการแข่งขันในวันพิเศษที่สุดของปีมากมายมหาศาล
นอกจากอเมริกันฟุตบอล NFL แล้วอีกหนึ่งกีฬาที่ Netflix จัดแจงซื้อเข้ามาคือมวยปล้ำ WWE จาก TKO Holdings Group ที่แม้จะไม่ใช่การแข่งขันกีฬาจริงๆเป็นการแสดงกึ่งกีฬาที่เน้นความบันเทิง (Sport entertainment) แต่ชื่อเสียงและความนิยมของ WWE นั้นการันตีแฟนๆทั่วโลกจำนวนมากมายมหาศาล
รายการแข่งที่จะมาปรากฏบน Netflix นั้นล้วนเป็นสุดยอดรายการมวยปล้ำยอดนิยม อาทิ Raw, SmackDown รวมถึงรายการพิเศษประจำปีอย่าง WrestleMania, SummerSlam และ Royal Rumble ซึ่งการคว้าลิขสิทธิ์ทั้งหมดนี้มีการประเมินว่าใช้เงินมหาศาลถึง 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.73 แสนล้านบาท) สำหรับสัญญาระยะเวลา 10 ปีเต็ม ซึ่งจะเริ่มออกอากาศเป็นครั้งแรกในปี 2025
ข่าวนี้สร้างความตื่นเต้นให้แก่แฟนมวยปล้ำทั่วโลก รวมถึงในเมืองไทยที่การจะได้ชมมวยปล้ำสดๆนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ซึ่งดีลนี้การันตีว่าอย่างน้อยจะมีการแข่งมวยปล้ำของเหล่าซูเปอร์สตาร์ที่จะผลัดกันมาขึ้นเวทีอย่างน้อยในคอนเทนต์ Exclusive บน Netflix สัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง
คำถามที่หลายคนอยากรู้คือสิ่งเหล่านี้กำลังเป็นตัวบ่งชี้ว่า Netflix กำลังจะหันมาเอาดีทางการถ่ายทอดสดกีฬาระดับโลกด้วยไหม?
โดยเฉพาะกับรายการยอดนิยมอย่างฟุตบอลโลก, ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก หรือ 5 ลีกใหญ่อื่นๆของยุโรป, อเมริกันฟุตบอล NFL แบบเต็มฤดูกาล, บาสเก็ตบอล NBA หรือแม้แต่การแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต ฟอร์มูลา-วัน และโมโตจีพี
ในเรื่องนี้ยังไม่มี “สัญญาณ” ที่แน่ชัดออกมา โดยก่อนหน้านี้ เท็ด ซารานโดส Co-CEO ของ Netflix บอกเมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่าตอนนี้ยังไม่มีแผนสำหรับการลุยตลาดลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดกีฬาจริงจัง
สิ่งที่ Netflix ทำคือการมองหาความแตกต่าง (Differentiate) และเอาชนะ (Outcompete) ทุกคนด้วยวิธีที่แตกต่างอย่างเรื่องของ Storytelling of sports หรือการบอกเล่าเรื่องราวของกีฬาที่มากกว่าแค่ผลการแข่งขัน และเรื่องดราม่าในเกมกีฬา Drama of sports
เมื่อมองถึงรายการกีฬาที่ Netflix ถ่ายทอดสดที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น Netflix Cup, Netflix Slam หรือแม้แต่ไฟต์ระหว่างเจค พอล กับไมค์ ไทสัน ที่เพิ่งจบลงไปนั้น ทุกรายการเป็นอีเวนต์พิเศษที่เกิดขึ้นแบบ “ครั้งเดียวจบ”
โดยที่สิ่งสำคัญไม่ใช่เรื่องของ “ผลการแข่งขัน” แต่เป็น “เรื่องราว” ทั้งก่อนการแข่งขัน ระหว่างการแข่งขัน และหลังการแข่งขัน
ในขณะที่รายการกีฬาจริงจังอย่าง NFL Christmas Day ที่จะถ่ายทอดสดในวันที่ 25 ธันวาคมนั้น ถึงจะเป็นการแข่งขันจริงๆแต่ก็เป็น “อีเวนต์พิเศษ” สำหรับผู้ชมในแบบครอบครัวที่จะได้ใช้โอกาสดีๆในรอบปีมานั่งดูกีฬาไปด้วยกัน
มวยปล้ำ WWE ก็เช่นกัน เป็น Sport entertainment สำหรับครอบครัว ที่คนรุ่นก่อนจะชวนคนรุ่นใหม่เด็กๆมาดูการขึ้นเวทีโชว์ของเหล่านักมวยปล้ำซูเปอร์สตาร์ที่เป็นเหมือนฮีโร่ในชีวิตจริงของเด็กๆด้วยกัน
นี่คือ “กลยุทธ์” ในเวลานี้ของ Netflix ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งอย่าง Amazon (NFL Thursday Night Football) หรือ Apple (ฟุตบอล MLS, เบสบอล MLB) ที่กระโจนลงตลาดนี้ไปก่อนแล้วแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จหรือถูกพูดถึงมากเท่าไรนักเมื่อเทียบกับ Netflix
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสที่ Netflix จะซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดกีฬาในระดับ “พรีเมียม” ในอนาคต เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจากไฟต์ของ พอล และไทสัน นั้นมันเป็นเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าอนาคตของการถ่ายทอดสดกีฬาได้ก้าวผ่านจากยุคของ Pay-per-view (PPV) มาสู่ยุคของ Steaming แล้ว
และในเรื่องนี้ไม่มีใครจะเก่งและมองตลาดขาดเหมือน Netflix อีกแล้ว
อ้างอิง
ft.com/content/64248873-e0b7-4fc4-b95b-68b7fe6b90ec
omr.com/en/daily/netflix-nfl-deal
fool.com/investing/2024/11/17/netflixs-sports-future-tyson-paul-event-lessons/
evolveetfs.com/2024/06/how-live-sports-streaming-could-catapult-netflixs-growth/