'สันติธาร เสถียรไทย' เปิดมุมมอง ‘4 หักมุมในยุคทรัมป์ 2.0‘
ในช่วงที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกับนักวิเคราะห์นักลงทุนจากหลากหลายประเทศ รวมทั้งผู้ทำนโยบายที่เคยรับมือกับทรัมป์ 1.0 แต่ยังไม่ได้มีโอกาสตกตะกอนความคิดจนไม่นานมานี้
จึงอยากจะฝากข้อสังเกต 4 ประการเกี่ยวกับรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯและสงครามการค้าต่างๆที่คิดว่าธุรกิจ นักลงทุนและผู้วางนโยบายควรจะเตรียมรับมือในปีหน้าครับ
1.คนทำดีล ไม่ใช่ คนทำนโยบาย (Deal maker > policy maker)
ในปีหน้านายโดนัล ทรัมป์จะเป็นผู้วางนโยบายที่สำคัญและมีผลกระทบต่อทั้งโลกมากที่สุด แต่ทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองอเมริกาและอดีตผู้นำประเทศที่เคยเจรจากับเขา ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทรัมป์คือนักเจรจา/นักทำดีล ไม่ใช่นักทำนโยบาย
ซึ่งแปลว่านโยบายที่ประกาศออกมานั้นสามารถปรับเปลี่ยนได้เสมอ ขึ้นอยู่กับดีลที่เค้าอยากได้ และหลายมาตรการก็ทำขึ้นเพื่อเปิดโต๊ะเจรจาสร้างอำนาจต่อรองให้ตนเอง ถ้าอยากจะอ่านเกมให้ขาดต้องช่วยกันเดาว่าเขาต้องการดีลอะไร ไม่ใช่เพียงวิเคราะห์จุดยืนและหลักการของแต่ละนโยบาย
แต่ทั้งนี้ไม่ได้แปลว่านโยบายของทรัมป์จะไม่ดุดัน ตรงกันข้าม นักเจรจาต่อรองย่อมรู้ดีว่าการเจรจาต้องเริ่มจากการออกมาตราการ ‘ไม้แข็ง’ ที่เฟียสมาก่อน เพื่อให้ฝั่งตนเองได้เปรียบและทุบโต้ะให้คนรีบมาที่โต้ะเจรจา
ดังนั้นสงครามการค้าปีหน้าน่าจะดุดันเป็นพิเศษ
2.ทรัมป์ 2.0 อาจไม่เหมือน ทรัมป์ 1.0
ผู้ที่ติดตามการเมืองหลายประเทศจะชอบเตือนคล้ายๆกันว่า อย่าประมาทไปคิดว่าผู้นำในเทอมที่สองจะคล้ายๆกับเทอมที่หนึ่ง แม้สไตล์จะคล้ายกันแต่บริบทที่แตกต่างเพียงเล็กน้อยอาจทำให้คนๆเดียวกันเป็นผู้นำที่ต่างกันมากในสองยุค
แน่นอนว่าจุดเด่นของทรัมป์คือ การที่คาดเดาได้ยากไม่ว่าจะเป็นยุคไหน แต่สิ่งที่เราพอรู้แล้ววันนี้คืออย่างน้อย:
-รอบนี้เขามีมีประสบการณ์การเป็นผู้นำรัฐบาลสหรัฐฯ มาแล้ว
-รอบนี้เขามีทั้งสภาล่างและบนอยู่ในมือ ทำให้ผลักดันมาตราการต่างๆได้ง่ายและกว้างขึ้น
-นี่จะเป็นเทอมสุดท้ายของเขา โอกาสสุดท้ายที่ ‘เช็คบิล’และไว้ลายให้โลกจำ
ทั้งหมดนี้ชี้ไปว่าสงครามการค้าอาจจะเข้มข้นกว่ายุคก่อน และมีผลกระทบกับประเทศต่างๆรวมทั้งไทยอย่างมากทั้งทางตรงและทางอ้อม
- ทางตรง 1: หากอเมริกาตั้งกำแพงภาษีใส่ทุกประเทศดังที่เคยประกาศไว้ ก็จะโดนกระทบเต็มๆ
- ทางตรง 2: หากมีการตั้งกำแพงภาษีปิดช่องทางสินค้าของบริษัทจีนที่มาตั้งโรงงานในไทยเพื่อส่งออกไปอเมริกาด้วย ก็จะทำให้การส่งออกจากประเทศไทยก็จะโดนหางเลขไปด้วย
- ทางอ้อม 1: หากกำแพงภาษีใส่จีนบีบให้จีนต้องระบายสินค้ามาที่อาเซียนและไทยมากขึ้น จะเกิดสินค้าราคาถูกทะลักเข้ามามากขึ้น
- ทางอ้อม 2: หากจีนตอบโต้กำแพงภาษีด้วยการปล่อยให้ค่าเงินหยวนอ่อนลง (เคยทำในอดีต) ทำให้เกิดการแข่งขันกับสินค้าไทยในตลาดอื่น
- ทางอ้อม 3: ความไม่แน่นอนทางการค้าโลกทำให้ธุรกิจทั่วโลกชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ ฉุดการค้าโลกตั้งแต่ก่อนมาตราการออกมา (ธนาคารโกลด์แมน แซคส์พบว่าช่องทางนี้มีอิมแพคสูงมากในยุโรปยุคทรัมป์ 1.0)
ทั้งหมดนี้แปลว่าแรงกระแทกจากสงครามการค้าอาจเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนมาตราการเกิดขึ้นและกระทบการส่งออกไทยได้แม้ไม่ได้โดนตรงๆ
3.อยากได้ดอลลาร์อ่อน แต่ใช้นโยบายดอลลาร์แข็ง
อีกความย้อนแย้งก็คือ ทรัมป์ชอบพูดว่าอยากได้เงินดอลล่าร์ที่อ่อนลงแต่ชุดนโยบายของเขานั้นล้วนนำไปสู่การที่ทำให้เงินดอลลาร์แข็งขึ้น เช่น
-นโยบายกำแพงภาษีสูง ลดการนำเข้า
-ทำเงินเฟ้อสูงขึ้น (จากลดคนเข้าเมือง+ลดนำเข้า) อาจทำให้Fed ลดดอกเบี้ยได้น้อยลงกว่าที่คาด
-ทำให้ประเทศคู่ค่าโดยเฉพาะยุโรปอ่อนแอลง ส่งผลให้เงินยูโรอ่อน (เวลายูโรอ่อน ดอลลาร์มักแข็งค่า)
เป็นต้น
ดังนั้นนอกจากจะมีสงครามการค้าแล้ว ความย้อนแย้งนี้อาจสร้างความผันผวนให้ตลาดการเงินเพิ่มไปอีก
4.อยากทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่ แต่นโยบายอาจกลับทำให้อาเซียนยิ่งใหญ่ขึ้น
ดังธีมในหนังสือ Twists and Turns ที่ว่าในทุก ‘ทวิสต์’ ย่อมมีโอกาส ’เทิร์น‘ สงครามการค้า 2.0 ที่ดุดันในปีหน้าอาจส่งผลบวกกับอินเดีย อาเซียนและเศรษฐกิจไทยได้ในระยะยาว โดยทำให้การเคลื่อนย้ายการลงทุนของธุรกิจข้ามชาติจากจีนมาที่เอเชียตอนใต้ที่ได้เกิดขึ้นแล้วใน3-4ปีที่ผ่านมานั้นเร่งตัวขึ้นกว่าเดิม
นอกจากนี้ต่อไปเราอาจเห็นการเคลื่อนย้ายไม่เพียงเงินทุนแต่รวมไปถึง talent หรือ หัวกะทิ มาทำงานในภูมิภาคมากขึ้น และผู้ประกอบการเก่งๆอาจมาสร้างธุรกิจ สร้างงานใหม่ๆ ในตลาดนี้มากขึ้น
โดยประเทศที่เป็น ‘ตาอยู่’ ได้ประโยชน์มากหน่อยก็คือ กลุ่มประเทศในอาเซียนรวมทั้งไทยด้วย (Pivot to ASEAN) แต่จะได้ประโยชน์มากน้อยก็คงขึ้นอยู่กับว่า ประเทศไทยเราพร้อมหรือยังที่จะตักตวงประโยชน์จากกระแสนี้อย่างเต็มที่แค่ไหน โรงงานที่มาจะใช้ไทยเป็นแค่ ‘เปลือกห่อ’ สินค้าส่งออก ไปประเทศตะวันตก หรือ จะมาพร้อม ‘แก่น’ คือความรู้และเทคโนโลยีที่ไทยเอามาใช้พัฒนาคนต่อยอดได้
ทั้ง 4 ทวิสต์ในยุคของทรัมป์2.0 ชี้ไปในทางเดียวกันว่า สถานการณ์โลกและอาเซียนอาจจะเป็นเหมือนตัว “J” คือจะแย่ลงก่อนในปีหน้า ก่อนที่ ร้าย(อาจ)กลายเป็นดีได้ในระยะยาวหากรู้จักฉกฉวยโอกาส
หวังว่าจะพอเป็นประโยชน์กับการคิดถึงแผนปีหน้ากันครับ