เศรษฐกิจไทยเผชิญเสี่ยงโตต่ำ จีดีพีต่ำสุดในภูมิภาค ท่องเที่ยวแรงเริ่มแผ่ว

เศรษฐกิจไทยเผชิญเสี่ยงโตต่ำ จีดีพีต่ำสุดในภูมิภาค ท่องเที่ยวแรงเริ่มแผ่ว

“สภาพัฒน์” เร่งการลงทุน-เบิกจ่ายงบ ดันเศรษฐกิจปี 68 โตถึง 3% หลังปี 67 ขยายตัว 2.5% เสนอรัฐบาลทำลงทุนขนาดเล็กทั่วประเทศ หนุน กนง.คงดอกเบี้ย เก็บกระสุนนโยบายการเงินรับนโยบายทรัมป์ “นักเศรษฐศาสตร์” ชี้เศรษฐกิจไทย เป้าปีนี้ต่ำสุดในภูมิภาค

เศรษฐกิจไทยเผชิญเสี่ยงโตต่ำ จีดีพีต่ำสุดในภูมิภาค ท่องเที่ยวแรงเริ่มแผ่ว สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปี 2567 ขยายตัว 2.5% ต่อเนื่องจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 2.0% ส่วนไตรมาส 4 ขยายตัว 0.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า 

โดยขยายตัวไม่มากเพราะการผลิตอุตสาหกรรมชะลอตัวโดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ลดลง 21% ขณะที่ดัชนีการผลิตรวม (PMI) อยู่ที่ 57% แม้การส่งออกขยายตัวดี 

สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัว 2.3-3.3% (ค่ากลางการประมาณการ 2.8%) โดยคาดว่าการอุปโภคบริโภคขยายตัว 3.3% และการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 3.2% มูลค่าการส่งออกรูปดอลลาร์ขยายตัว 3.5% อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 0.5-1.5% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.5% ของ GDP

ทั้งนี้ประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ขยายตัว 2.8% สศช.ดูความเสี่ยงการค้าโลกจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจเกิดขึ้นช่วงถัดไป ซึ่งเป็นความเสี่ยงสำคัญช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีมุมมองว่านโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ไม่แน่นอนทำให้เศรษฐกิจเสี่ยงมากขึ้นโดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลังทำให้ต้องมีมาตรการดูแลเศรษฐกิจต่อเนื่อง

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช.กล่าวว่า ประมาณการเศรษฐกิจ 2.8% รวมการกระตุ้นเศรษฐกิจจากโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทแล้ว 

ส่วนการผลักดันเศรษฐกิจไทยปี 2568 ขยายตัวได้ 3.0-3.5% ที่เป็นเป้าหมายของรัฐบาล เห็นว่าต้องใช้มาตรการอื่นเสริมมากขึ้น โดยเฉพาะมาตรการด้านการลงทุน การกระตุ้นการบริโภค และการส่งออก แต่ต้องเร่งมาตรการกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน ซึ่ง สศช.คาดว่าการลงทุนรวมปีนี้ขยายตัว 3.6% ส่วนการลงทุนภาคเอกชนปีนี้จะขยายตัวได้ 3.2 % เพิ่มจากปีก่อนที่การลงทุนภาคเอกชน -1.6%

สำหรับการลงทุนภาคเอกชนหากขยายตัวได้ 3.2% จะทำให้มีเงินจากการลงทุนรวมลงสู่ระบบเศรษฐกิจ 3.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นเงินการลงทุนเพิ่มขึ้น 1.0-1.2 แสนล้านบาท 

ขณะที่เงินลงทุนที่ขอส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่กระทรวงการคลังคาดว่าลงทุน 7.5 หมื่นล้านบาท นั้นเป็นไปได้เพราะการลงทุนจะเกิดขึ้นจริงในเวลา 1-1.5 ปี ซึ่งหากมีมาตรการเร่งรัดจะทำให้การลงทุนเพิ่มขึ้น 

แนะรัฐต้องบริหารงบประมาณให้เหมาะสม

ส่วนการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลัง เลขาธิการ สศช.ยอมรับว่า ต้องพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการออกมาตรการ โดยรัฐบาลควรบริหารจัดการงบประมาณให้เหมาะสม และยืนยันว่าต้องเน้นการออกมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน โดยใช้เงินที่มีช่วยให้มีเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ รองรับผลกระทบจากสถานการณ์สงครามการค้าที่จะเกิดขึ้น

“มาตรการที่จะออกคงไม่มีเรื่องลงทุนอย่างเดียว แต่จะมีเรื่องอื่นด้วย ตอนนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังพิจารณาว่าจะมีอะไรออกมาลดผลกระทบช่วงครึ่งปีหลังนี้” เลขาธิการ สศช.ระบุ

ส่วนข้อเสนอภาคเอกชนให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยนโยบาย ถือว่าเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ดี ขณะที่รัฐบาลเร่งมาตรการทางเศรษฐกิจทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุน ดังนั้นความจำเป็นการใช้นโยบายการเงินจึงมีไม่มากนัก 

กนง.ไม่ลดดอกเบี้ยเหตุพิจารณาหลายปัจจัย

ทั้งนี้ การพิจารณาของ กนง.เชื่อว่าดูข้อมูลเศรษฐกิจหลายส่วน รวมทั้งพิจารณาปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจระยะต่อไป รวมถึงปัจจัยเศรษฐกิจและนโยบายสหรัฐภายหลังการเข้ามาดำรงตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วย ซึ่งขณะนี้ทิศทางเงินเฟ้อของสหรัฐปรับขึ้นจากนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้า และผลักดันแรงงานอพยพออกนอกประเทศ

ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่คณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐ (FOMC) อาจขึ้นดอกเบี้ยได้แทนที่จะลด แล้วหากไทยลดดอกเบี้ยลงก่อน สวนทางสหรัฐขึ้นดอกเบี้ยอาจส่งผลต่อค่าเงินบาทที่จะอ่อนค่าลงได้เนื่องจากผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยน โดยหากค่าเงินบาทอ่อนลงมากแม้มีผลดีกับการส่งออกและการท่องเที่ยว แต่การนำเข้าพลังงานจะกระทบไทยมาก 

“กนง.พิจารณาข้อมูลทางเศรษฐกิจรอบด้าน เชื่อว่าการคงดอกเบี้ยนโยบายไว้เพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจระยะข้างหน้าด้วย” นายดนุชา กล่าว 

แนะรัฐทุ่มงบแหล่งน้ำกระจายทั่วประเทศ

นอกจากนี้การกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 รัฐบาลมีวงเงินเตรียม 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งจะลงสู่ระบบเศรษฐกิจได้ในครึ่งแรกปีนี้ ส่วนครึ่งหลังได้เสนอให้รัฐบาลทำโครงการลงทุนในแหล่งน้ำขนาดเล็กกระจายลงทุนทั่วประเทศ โดยจะได้ประโยชน์ในการทำระบบรองรับน้ำท่วมน้ำแล้งแล้วยังทำให้มีดีมานด์การใช้รถกระบะมากขึ้น และช่วยอุตสาหกรรมรถยนต์เชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะรถกระบะที่ผู้รับเหมาซื้อมากขึ้น 

ส่วนโครงการที่เสนอนี้จะใช้งบประมาณจากส่วนใดนั้นอาจต้องใช้งบกลางรายการสำรองจ่ายฉุกเฉินและกรณีจำเป็นเร่งด่วน แต่ส่วนนี้ต้องหารือกับสำนักงบประมาณและภาคส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้องถึงความเป็นไปได้ของแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการนี้ว่าหากจะเดินหน้าโครงการในลักษณะนี้จะสามารถใช้งบประมาณจากแหล่งใดได้บ้าง 

ชี้เครื่องจักรด้านท่องเที่ยวเริ่มแผ่ว

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ประมาณการของสภาพัฒน์ที่ 2.8% ใกล้เคียงที่ประเมินไว้ที่ 2.7% จากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่เห็นการฟื้นตัวต่อเนื่อง รวมถึงมาตรการภาครัฐที่มีต่อเนื่อง โดยเฉพาะการแจกเงินของภาครัฐ แม้ไม่เป็นตัวที่กระตุ้นได้แรง แต่อย่างน้อยประคองไม่ให้ทรุดตัวกว่าเดิม

ทั้งนี้น่าห่วงการท่องเที่ยว แม้ปีนี้ทำได้ 39 ล้านคน จากปีก่อน 35.5 ล้านคน แต่การท่องเที่ยวเริ่มจำกัดมากขึ้น อาจไม่โตแรงเหมือนปีที่ผ่านมา จึงต้องเตรียมหาเครื่องจักรใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งการกระจายของการบริโภคให้มากขึ้น รวมถึงการลงทุนที่ต้องทำให้เห็นมากขึ้น โดยห่วงภาคต่างประเทศจากสงครามการค้าที่ต้องติดตามว่ามีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน

“วันนี้ต้องฝากความหวังไว้กับภาครัฐในการเร่งลงทุน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหลาย คงไม่ใช่การหว่านแห เพราะการฟื้นตัวค่อนข้างกระจุกตัว อยู่เฉพาะคนที่มีกำลังซื้อกลุ่มบนและระดับกลาง ขณะที่ระดับล่างยังเหมือนเดิม ยังอ่อนแอมากขึ้น ดังนั้นหากไม่ทำอะไร ก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตต่ำได้ ส่วนเป้าที่ 2.8% ก็มีโอกาสเป็นไปได้หากเร่งเรื่องต่างๆ มากขึ้น”

เศรษฐกิจไทยโตต่ำสุดในภูมิภาค

ดังนั้น มองว่าการเติบโตเศรษฐกิจไทยปัจจุบันไม่ใช่ประเด็นว่าเติบโต 2.7% หรือ 2.8% ตามเป้าหมายสภาพัฒน์ แต่เศรษฐกิจไทยโตต่ำสุดในภูมิภาค และไม่มั่นใจว่าอีก 5 ปีข้างหน้าจะโตเหนือ 3% ได้หรือไม่ ซึ่งสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้าง ปัญหาจากสังคมสูงวัย การขาดประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งเป็นตัวฉุดเศรษฐกิจระยะยาว นอกจากนี้ไทยอยู่ท่ามกลางปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง กำลังซื้ออ่อนแอสภาพคล่องเริ่มตึงตัว เอสเอ็มอีอ่อนแอ

ฉะนั้นการพิจารณาดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.ครั้งนี้ แม้ยังไม่ปิดประตูในการลงดอกเบี้ยในรอบเดือน ก.พ.นี้ และที่ห่วงคือเศรษฐกิจไทยหลังจากนี้จะเห็นการเติบโตน้อยลงต่อเนื่อง ทั้งหากเทียบไตรมาสต่อไตรมาส สะท้อนว่าแม้เราจะยังประคองตัวได้ แต่การฟื้นตัวมีจำกัด 

ดังนั้นเศรษฐกิจเริ่มโตแผ่วลง โดยเฉพาะครึ่งปีหลังมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยหาก กนง.รอจนเห็นสัญญาณเศรษฐกิจเชิงลบกว่านี้ โดยการเก็บขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย (Policy space) ซึ่งอาจประคองเศรษฐกิจไม่ทัน เพราะกว่าผลของดอกเบี้ยต้องรอถึง 12 เดือน ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจไถลลงลึกกว่าที่คาด ดังนั้นควรป้องกันเชิงรุกด้วยการลดดอกเบี้ยก่อนช่วงครึ่งปีแรก แทนการลดในครึ่งปีหลัง

เศรษฐกิจโตกระจุกตัว

นายนริศ สถาผลเดชา ประธานกลุ่มงาน Data และ Analytics ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ภายใต้การคาดการณ์จีดีพีของสภาพัฒน์ ที่ 2.8% ถือว่าไม่สูงเกินไป ซึ่งส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่ามาจากฐานต่ำปีก่อน ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวดีขึ้น

ทั้งนี้ การเติบโต 2.8% เป็นระดับที่ยังไม่พอ เพราะเศรษฐกิจวันนี้ไม่กระจายตัวเพราะมาจากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะ 10 จังหวัดท่องเที่ยว และเติบโตมาจากการส่งออกที่ไทยยังได้ประโยชน์จากสงครามการค้า แต่หากย้อนดูครัวเรือนเริ่มเห็นการบริโภคชะลอลงจากปัญหาด้านรายได้ ปัญหาด้านงบดุลครัวเรือนที่มีรายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย

เช่นเดียวกับเอสเอ็มอี ที่เจอปัญหาความสามารถแข่งขัน การตีตลาดจากจีน ดังนั้นแม้การเติบโตเศรษฐกิจทำได้ถึง 3% แต่การเติบโตดังกล่าวยังค่อนข้างกระจุกตัวค่อนข้างสูง

เศรษฐกิจยังเต็มไปด้วยความเสี่ยง

นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP Research) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทย ระดับ 2.8% ไม่ได้ต่างจากที่ประเมินนัก โดยความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยหลักมาจากความไม่แน่นอนจากนโยบายทรัพย์ สงครามการค้า และน่าห่วงภาคการผลิตที่ปัจจุบันได้รับผลกระทบมากจากการเปลี่ยนแปลงของการค้าโลกจากสงครามการค้าโลก

ขณะที่ภาครวมสินเชื่อในระบบของธนาคารที่หดตัว ทำให้เศรษฐกิจไทยขาดไดร์เวอร์สำคัญ ไปสู่ภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ส่วนมาตรการภาครัฐ แม้จะออกมาต่อเนื่อง แต่ก็มีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจได้น้อย โดยเฉพาะการแจกเงินที่เห็นแล้วว่าผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยทำได้ต่ำเพียง 0.4% หากเทียบกับเม็ดเงินที่ใส่ลงไปที่ 1.4 แสนล้านบาท ดังนั้นต้องจับตาดูว่าเฟสถัดไปการกระตุ้นเศรษฐกิจทำได้มากขึ้นหรือไม่