คาด ‘อินโดนีเซีย’ คงดอกเบี้ย รอดูทิศทางเฟด หลังหุ้นดิ่งหนัก

นักวิเคราะห์จากสำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ไว้ที่ 5.75% ในการประชุมวันนี้ (19 มี.ค.) ซึ่งจะเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิมเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน ทั้งนี้นักวิเคราะห์ 11 รายคาดการณ์ว่า BI อาจตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เหลือ 5.5%

การตัดสินใจของ BI เกิดขึ้นหลังจากตลาดหุ้นอินโดนีเซียร่วงลงอย่างหนักถึง 3.8% เมื่อวานนี้เนื่องจากมีข่าวลือว่า “ศรี มุลยานี อินทราวาตี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อาจลาออกจากตำแหน่ง ข่าวลือนี้สร้างความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความตึงเครียดทางการค้าระดับโลก 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเย็นวานนี้ อินทราวาตีได้ออกมาแถลงข่าวที่กรุงจาการ์ตา โดยปฏิเสธข่าวลือดังกล่าว

   "ดิฉันขอเน้นย้ำว่าดิฉันอยู่ที่นี่ ดิฉันยืนอยู่ที่นี่ และดิฉันจะไม่มีวันลงจากตำแหน่ง ดิฉันยังคงมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดี และบริหารจัดการการเงินของภาครัฐอย่างมืออาชีพ"อินทราวาตีกล่าว

4 ปัจจัยกดดัน BI คงดอกเบี้ย

เหตุผลหนึ่งที่อาจสนับสนุนให้ธนาคารกลางอินโดนีเซียคงอัตราดอกเบี้ยไว้ คือการรอผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ในสัปดาห์นี้ ซึ่งคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ ถ้าหากอินโดนีเซียลดดอกเบี้ยก่อน อาจทำให้เงินรูเปียห์ไหลออกและเกิดความผันผวนในตลาดเงินได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” เตรียมเก็บภาษีตอบโต้ในเดือนเม.ย.

นอกจากนี้ “ค่าเงินรูเปียห์” ของอินโดนีเซียอ่อนค่าลงประมาณ 0.9% ในเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าอ่อนค่ามากที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชีย 

รวมทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีก็เพิ่มขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติได้เทขายพันธบัตรรัฐบาลสุทธิในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Fitch Ratings ได้ออกมาเตือนถึงความไม่แน่นอนทางการคลังของอินโดนีเซีย

ตลาดหุ้นจาการ์ตาได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยดัชนีหุ้นร่วงลงมากกว่า 12% ในปีนี้ ทำให้กลายเป็นตลาดหุ้นที่มีผลงานแย่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวานนี้ ดัชนีหุ้นร่วงลงมากกว่า 5% ในวันเดียว จนต้องมีการหยุดพักการซื้อขาย 

รวมทั้งบริษัทการเงินยักษ์ใหญ่อย่าง Goldman Sachs Group Inc. และ Morgan Stanley ก็ได้ปรับลดประมาณการหุ้นของอินโดนีเซียลง เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ที่อ่อนแอ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และความเสี่ยงด้านการเงินที่เพิ่มขึ้น