เครดิตบูโรห่วง 5 ล้านคนติดบ่วงหนี้ เร่งช่วย 3.5ล้านคน พ้นวิกฤติ

เครดิตบูโรห่วง5ล้านคน‘ติดบ่วงหนี้’ เปิดทางช่วย3.5ล้านคน‘ฟื้นวิกฤติ’ เปิดสถานการณ์ “หนี้” ของประเทศไทย เป็นหนี้เสียกว่า 9 ล้านบัญชี
สถานการณ์ “หนี้” ของประเทศไทย คงไม่ห่างกับคำว่า “วิกฤติ” เพราะหากดูข้อมูล “หนี้ครัวเรือน”ที่เผยแพร่จาก “เครดิตบูโร” หรือ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ที่มีการรวมหนี้ทั้งระบบ ที่อยู่บนระบบของเครดิตบูโร พบว่าวันนี้ คนที่เป็นหนี้เสีย หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดมีถึง 5.385 ล้านลูกหนี้ หรือที่พบเป็นหนี้เสีย 9.5 ล้านบัญชีไปแล้ว
ล่าสุด มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ “สุรพล โอภาสเสถียร” ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ที่ฉายภาพให้เห็นถึงมุมมองสถานการณ์หนี้เชิงลึกโดย “สุรพล” มองว่า หากดูข้อมูลภายใต้เครดิตบูโร ปัจจุบันมีหนี้ครัวเรือนไทย ที่เก็บอยู่ในระบบเครดิตบูโรที่ 13.6 ล้านล้านบาท
ในนี้เป็นหนี้เสียไปแล้ว 1.22 ล้านล้านบาท ณ เดือนม.ค. ที่ผ่านมา ไม่เพียงเท่านั้น มีหนี้ที่เสียไปแล้ว และนำมาปรับโครงสร้างอีก 1 ล้านล้านบาท
ซึ่งเป็นคนละก้อนกับหนี้เสียก่อนหน้านี้ อีกทั้ง ยังมีหนี้ที่ “เริ่มจะเสีย” หรือเรียกว่า SM ในกลุ่มนี้อีก 6 แสนล้านบาท อีกกลุ่มคือลูกหนี้ที่เข้าสู่การปรับโครงสร้างก่อนเป็นหนี้เสียอีก 9.2 แสนล้านบาท
ลึกไปกว่านั้น หากดูเฉพาะข้อมูลหนี้เสียที่ 1.2 ล้านล้านบาท ครอบคลุมคนที่เป็นหนี้เสีย 5.4 ล้านคน หากเทียบกับวัยแรงงานของประเทศไทยที่มีกว่า 40 ล้านคน ตัวเลขหนี้เสียที่กว่า 5 ล้านคน คิดเป็นตัวเลขกลมๆ ก็กว่า 10%
เขามองว่า หากต้องแก้ไขหนี้สิน เพื่อดึงแรงงานของเรากว่า 10% เข้ามาอยู่ในระบบแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าสร้างรายได้ก่อน อัปสกีลรีสกิลก่อน เพราะคนที่เป็นหนี้เสีย ต้องเผชิญปัจจัยต่างๆ อีกมากรวมถึงต้นทุนสังคมที่ต้องเจออีกมหาศาล ดังนั้น การเข้าไปแก้หนี้ก้อนหนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
ดังนั้น การแก้ไขปัญหาหนี้สินเป็นปัญหา “หนักหนา” เป็นปัญหาเชิงสังคม เราไม่อยากเห็นคนมีหนี้เสียเหล่านี้เดินเข้าสู่ธุรกิจผิดกฎหมาย หรือทำผิดพลาดครั้งใหญ่
ดังนั้น กระบวนการจัดการปัญหาหนี้สิน หรือปัญหาสังคมครั้งนี้โจทย์คือ ไม่ใช่แก้ได้กี่บาท แต่ต้องตอบให้ได้ว่า “ช่วยได้กี่คน” คือจุดสำคัญเรื่องนี้
“ครั้งนี้ไม่เหมือนวิกฤติปี 40 แต่เป็นไฟป่าที่เผาทุกอย่างหลักโควิด แล้วมาเจอฝนแล้งหญ้าต้นเล็กๆควรจะเจอฝน แต่ฝนไม่มา ตอนนี้หญ้าแห้งตายไปหมด หากปล่อยไปนานๆก็จะไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้”
ดังนั้น วันนี้สิ่งที่รัฐกำลังทำคือ การเข้าไปดูว่าสามารถช่วยเหลือกลุ่มไหนเร่งด่วน ซึ่งเบื้องต้นมองว่าคนที่มีหนี้ไม่เกิน 1 แสน ราว 3.5 ล้านบัญชีที่ต้องเข้าไปแก้ไขหยิบยื่นโอกาสให้เขาสามารถกลับมายื่นต่อได้ในอนาคต
แต่การแก้หนี้ครั้งนี้คงไม่สามารถทำได้โดยง่ายเหมือนปี 40 ที่ มีการตั้งหน่วยงานขึ้นมาแก้หนี้ให้กับ 100 บริษัท แต่เวลาเรากำลังพูดถึงลูกหนี้กว่า 3.5 ล้านคน ดังนั้น การแก้หนี้ต้องไม่เหมือนกัน ระบบที่สร้างขึ้นมาต้องสร้างแรงจูงใจให้ลูกหนี้เข้ามาติดต่อ หรือให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ซื้อหนี้มากองไว้ที่เดียวกัน แล้วแก้ปัญหาอย่างครบวงจร
ซึ่งสิ่งที่ยากที่สุดคือ การสร้างแรงจูงใจอย่างไรให้คน 3.5 ล้านคน ที่ไม่ได้รับการติดต่อ ย้ายที่อยู่ หนี้ไปแล้ว ทำอย่างไรให้กลุ่มนี้ยอมเข้าใจ เข้ามาติดต่อแล้วมาตกลงกัน และให้โอกาสเขาในการเดินต่อไปได้ในนี้
ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มนี้ ต้องเป็นหนี้นอกระบบ ดังนั้นการแก้ปัญหาภาครัฐต้องใส่เงินให้ลูกหนี้เหล่านี้ในการเคลียร์หนี้ เพื่อตัดปัญหาอย่างเด็ดขาด จะผ่านแบงก์รัฐปล่อยกู้ หรือการแก้กฎหมายโดยการออกพ.ร.ก.ให้อำนาจ AMC ในการปล่อยสินเชื่อให้ลูกหนี้ได้
ดังนั้น การแก้ปัญหาครั้งนี้ เป็นการช่วยกันทุกภาคส่วน ทั้งเจ้าหนี้ ลูกหนี้เอง ก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าพร้อมในการกลับมาเริ่มต้นใหม่ บนกลไกการจัดปัญหาหนี้แบบใหม่ๆ เพื่อเปิดทางให้ลูกหนี้กลับมามีอิสระทางการเงินกลับมาอีกครั้ง
ซึ่งสุดท้ายแล้ว “สุรพล” มองว่า เรื่องเหล่านี้เป็นปัญหาเร่งด่วน ในการสร้างเครื่องไม้เครื่องมือขึ้นมาใหม่ หากต้องแก้กฎหมายก็ต้องแก้ เพื่อเปิดทางช่วยลูกหนี้ เพราะวันนี้มีความจำเป็นเร่งด่วน ในการช่วยลูกหนี้ที่ไม่สามารถทำอะไรได้ รอวันตาย เหมือนคนนอนติดเตียง เหล่านี้เขาเรียกว่าวิกฤติ
“การเป็นหนี้เสียไม่ใช่เรื่องสนุก การจะได้ 10% ของแรงงานกลับมา กลไกตรงนี้มี ขอแค่ให้โอกาสคนได้ ให้พิสูจน์แต่หากเรายังใช้วิธีการแบบเดิมไม่มีทางสำเร็จ เพราะหากเราไม่ทำ 3.5 ล้านคน จะนำไปสู่ 3.5 ล้านคดี คือ 3.5 ล้านครอบครัว ยังไม่นับรวมคนที่ค้ำประกันที่ต้องรับผิดชอบต่อ ปัญหาหนี้ก็จะลามไม่จบไม่สิ้น”