BLC หุ้นน้องใหม่ปิดเช้าดิ่งเฉียด 20% ‘โบรกเกอร์’ เผยจังหวะเวลา - ตลาดไม่หนุน
BLC หุ้นน้องใหม่เข้าเทรดวันแรก (21 มิ.ย.66) ปิดตลาดช่วงเช้าร่วงลง 19.52% ‘โบรกเกอร์’ เผยปัจจัยพื้นฐานดี แต่จังหวะไทม์มิ่งไม่เหมาะ ขณะที่ตลาดหุ้นยังได้รับผลกระทบต่อปัจจัยภายนอก
BLC หุ้นน้องใหม่อยู่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภครวมถึงของใช้ส่วนตัว และเวชภัณฑ์ ที่เพิ่งเข้าเทรดวันนี้ (21 มิ.ย.66) เป็นวันแรก ปิดตลาดช่วงเช้าร่วงลง 19.52% หรือราคาปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 8.45 บาท ลดลง 2.05 บาท โดยช่วงเปิดตลาดราคาเท่ากับ IPO ที่ 10.50 บาท
ปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) เปิดเผยกับกรุงเทพธุรกิจว่า ในเชิงของราคาหุ้น BLC ที่เข้าตลาดมาในวันแรก ปรับตัวลงมามีอยู่ด้วยกัน 2 ปัจจัยใหญ่ๆ ได้แก่ 1.ปัจจัยเชิงเซนทิเมนต์ที่ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับผลกระทบต่อปัจจัยภายนอก และ 2.จังหวะในการเข้าเทรดวันแรกไม่ค่อยดี
อย่างไรก็ตาม ในเชิงปัจจัยพื้นฐานของ BLC ไม่ได้เปลี่ยน เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตทั้งรายได้และกำไร
ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนว่า แม้หุ้น BLC มีการปรับตัวลงมานักลงทุนที่มีหุ้นจองอยู่ ยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องขายออกไป เพราะเชื่อว่า ผลประกอบการในอนาคตจะสะท้อนออกมาในเชิงประมาณการที่ยังคงเห็นการเติบโตของกำไรในปีนี้ และปีหน้า
ภก.สุวิทย์ งามภูพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค (BLC) เปิดเผยว่า BLC เป็นหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ด้านสุขภาพที่กำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญทั่วโลก เป็นบริษัทยาของคนไทย ที่ก่อตั้งด้วยความตั้งใจอยากให้คนไทยเข้าถึงยาคุณภาพดี สร้างความมั่นคงด้านสุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ และเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยาของประเทศไทย ด้วยการสร้างนวัตกรรมด้านสมุนไพร เพื่อสร้างการยอมรับในระดับโลก นอกจากนี้ บริษัทได้ยกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
โดย บริษัทมีผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2563-2564 และ 2565 บริษัทมีรายได้จากการขาย 1,027.2 ล้านบาท 1,027.7 ล้านบาท และ 1,238.5 ล้านบาท ตามลำดับ เติบโตเฉลี่ย 9.8% ต่อปี เนื่องจากเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัวหลังจากวิกฤติโควิด-19 คลี่คลาย ทำให้ดีมานด์ของยาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อเพิ่ม Brand Awareness ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ปริมาณการขายสินค้าของบริษัทเพิ่มขึ้น และมีกำไรสุทธิปี 2563-2564 และ 2565 อยู่ที่ 13.7 ล้านบาท 51.1 ล้านบาท และ 129.7 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราเติบโต 273% และ 153% จากปีก่อนตามลำดับ โดยกำไรสุทธิของบริษัท ปรับตัวดีขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของรายได้ และกำไรขั้นต้น รวมทั้งการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างกำไรให้บริษัทอย่างต่อเนื่อง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์