หุ้นน้องใหม่ MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่น เปิดเทรดวันแรกเหนือจองพุ่ง! 42.14% จากราคา IPO 15.90 บาท
หุ้นน้องใหม่ MAGURO เปิดซื้อขายวันแรก เหนือจองพุ่ง 42.14% หรือเพิ่มขึ้น 6.70 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 22.60 บาท จาก IPO ที่ 15.90 บาท
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยภาคเช้า ณ วันที่ 5 มิ.ย.2567 หุ้นน้องใหม่ MAGURO หรือ บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเทรดวันแรก เหนือจองพุ่ง 42.14% หรือเพิ่มขึ้น 6.70 บาท หรือระดับราคาอยู่ที่ 22.60 บาท จาก IPO ที่ 15.90 บาท
ธนภัทร ฉัตรเสถียร นักวิเคราะห์ บล.ทรินีตี้ เปิดเผยว่า MAGURO มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง และเป็นบริษัทที่ไม่มีหนี้ ประกอบกับความสามารถทํากําไรที่ดี ซึ่งมาจากการที่บริษัทคอยปรับตัวให้เท่าทันกับสถานการณ์โลกและกระแสความต้องการของผู้บริโภคอยู่เสมอ โดย MAGURO มีอัตรากําไรขั้นต้นที่สูงถึง 45% ในปี 2566 ประกอบกับการที่บริษัทมีสาขายังไม่มาก ทําให้มีโอกาสเติบโตที่ดีในอนาคต ซึ่งเราคาดการณ์ว่า กําไรในปี 2567-2568 จะโตเนื่องจาก Economies of Scale ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นต้นปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งมาจากการขยายสาขา 23 สาขา จาก 25 สาขาในปี 2566 เป็ น 48 สาขาในปี 2568
นอกจากนั้นทางบริษัทยังมีแผนที่จะทําการเปิดแบรนด์ใหม่ ในปี 2567-2568 อีกด้วย ทําให้เราคาดในปี 2567-2568 จะเป็นช่วงที่กําไรเติบโตสงูเฉลี่ย CAGR ราว 49.11% ต่อป
โดยประเมินราคาเป้าหมายปี 2567 ของ MAGURO ที่ 22.39 บาท โดยอิง P/E เฉลี่ยของกลุ่มธุรกิจอาหารในตลาดที่ประมาณ 25.44 เท่า ซึ่ง ถือว่าไม่สงูมากเมื่อเทียบกับอัตรการเติบโตของกําไร
บล.บียอนด์ ระบุว่า คาดกำไรสุทธิปีนี้เพิ่มขึ้น 45% เป็น 105 ล้านบาท และเติบโตต่อเนื่องในปีหน้าอีก 48% เป็น 156 ล้านบาท หนุนโดย 1) รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขยายสาขา และ 2) อัตรากำไรที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น 0.5-1.0% จากการประหยัดต่อขนาดและการปรับปรุงครัวกลางให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยกำหนดราคาเหมาะสมเท่ากับ 25.00 บาทต่อห้นุ
ขณะที่ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตดีตามกลยุทธ์การขยายสาขาต่อเนื่อง การขยายฐานลูกค้าและการแตกแบรนด์ใหม่ เราเลือกประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ MAGURO ด้วยวิธี PER ได้ราคาเหมาะสมที่ 25.00 บาทต่อหุ้น อิง PER ปี 2567 ที่ 30 เท่าใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยและค่ามัธยฐานของหุ้นกลุ่มร้านอาหารในตลาดสะท้อนถึงการเติบโตสูงระหว่างปี 2564-2566 ที่ 44% รวมถึงแนวโน้มผลประกอบการระหว่างปี 2567-2569 ที่เราคาดว่ายังคงเติบโตโดดเด่นประมาณ 38%
สมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงปี 64-66 บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยสูงถึง 64.91% และกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 96.38% ต่อปี อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีศักยภาพในการขยายธุรกิจอีกมาก จากการที่บริษัทฯ ยังมีสาขาที่น้อย และมีการปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป จึงมองว่า MAGURO จะเป็นอีกหุ้นน้องใหม่ที่มีพื้นฐานดี และสามารถเติบโตอย่างมั่นคงได้ในระยะยาว
“MAGURO ถือเป็นธุรกิจร้านอาหารที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น ซึ่งการกำหนดราคา IPO ที่ 15.90 บาทเป็นราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัท ซึ่งมี Brand Portfolio ที่โดดเด่น เริ่มต้นจากแบรนด์ “MAGURO” (มากุโระ) ร้านซูชิและอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมี่ยม ซึ่งเป็นที่ยอมรับของลูกค้ามายาวนานกว่า 9 ปี”
โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัท สามารถพัฒนาและสร้างแบรนด์ใหม่ได้อีก 2 แบรนด์ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีไม่ว่าจะเป็น “SSAMTHING TOGETHER” (ซัมติง ทูเก็ตเตอร์) ร้านปิ้งย่างเกาหลีพรีเมียม และ “HITORI SHABU” (ฮิโตริ ชาบู) ร้านชาบูและสุกียากี้สไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม ซึ่งร้านอาหารทั้ง 3 แบรนด์ นี้ สามารถดึงดูดลูกค้าได้ด้วยชื่อเสียงของแบรนด์จากคุณภาพและรสชาติของอาหาร จนทำให้บริษัท มีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง โดยมียอดผู้ติดตามบน Social Media มากกว่า 500,000 ราย
โดยในปีนี้บริษัทฯ ยังมีแผนในการเปิดสาขาใหม่ 11 สาขา ซึ่งจะส่งผลให้ ณ สิ้นปี บริษัทจะมีสาขาเพิ่มเป็นจำนวน 36 สาขา เติบโตขึ้นจาก 25 สาขา ณ สิ้นปีที่แล้ว ถือเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
จิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า MAGURO เป็นบริษัทฯ ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งทั้งทางด้านการเติบโตและฐานะทางการเงิน จากการบริหารธุรกิจด้วยความชี่ยวชาญและมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า อีกทั้งไม่มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย ทำให้สามารถต่อยอดทางธุรกิจได้เป็นอย่างดีในอนาคต
เอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานใน ปี 2566 มีรายได้รวม 1,045.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.06% และมีกำไร 72.48 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 131.12% จากปีก่อนหน้า โดยมีนโยบายการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40.00 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหลังหักสำรองต่าง ๆ
ทั้งนี้ MAGURO ประกอบธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลีระดับพรีเมียม-แมส (Premium Mass) ภายใต้ปรัชญา “การให้มากกว่าที่ขอ (Give More)” โดยณ วันที่ 30 เมษายน 2567 มีร้านอาหารภายในเครือทั้งหมด 3 แบรนด์ รวมจำนวน 27 สาขา ได้แก่
1.ร้านซูชิและอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมี่ยม “MAGURO” (มากุโระ) จำนวน 14 สาขา
2.ร้านปิ้งย่างเกาหลีพรีเมียม “SSAMTHING TOGETHER” (ซัมติง ทูเก็ทเตอร์) จำนวน 6 สาขา และ
3.ร้านอาหารชาบูและสุกี้ยากี้สไตล์ญี่ปุ่นแบบต้นตำหรับ “HITORI SHABU” (ฮิโตริ ชาบู) จำนวน 7 สาขา
ครอบคลุมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อีกทั้ง ยังมีธุรกิจรับจัดเลี้ยง ในรูปแบบของ Event Catering และ Office Lunchbox และมีบริการจัดส่งอาหารโดยตรง ภายใต้ชื่อ “MAGURO GO”
โดยภายหลังการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำไปใช้ในการขยายธุรกิจ ด้วยการเปิดสาขาใหม่ในปี 2567 ไม่น้อยกว่า 11 สาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งปรับปรุงสาขาเดิมและครัวกลาง ตลอดจนระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และรองรับการขยายตัวของจำนวนสาขาของบริษัทฯ ในอนาคต รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ ขยายกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“แง่ของการเป็นผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น-เกาหลี เราได้รับการยอมรับจากลูกค้ามายาวนานกว่า 9 ปี ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต่อจากนี้บริษัทฯ จะเดินหน้าพัฒนาธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภค ภายใต้ปรัชญา ‘การให้มากกว่าที่ขอ หรือ Give More’ ที่ได้ยึดถือเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งกับลูกค้า คู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดจนผู้ถือหุ้น และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย เพื่อสร้างธุรกิจที่เติบโตอย่างแข็งแรงและยั่งยืน สามารถต่อยอดธุรกิจให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนในระยะยาว”
ทั้งนี้ MAGURO มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ ผู้ก่อตั้ง 4 ราย ประกอบด้วย นายเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง นายชัชรัสย์ ศรีอรุณ นายรณกาจ ชินสำราญ นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ถือหุ้นท่านละ 14.86 % และ Holistic Impact Pte. Ltd ซึ่งเป็นกองทุน Private Equity Fund ถือหุ้น 13.52 % บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิของงบการเงินบริษัทภายหลังจากหักภาษีและเงินทุนสำรองตามกฎหมาย