"ญี่ปุ่น"เปิดประเทศ-"ไต้หวัน"ฟรีวีซ่า หุ้นไหนได้ประโยชน์?
การท่องเที่ยวทั่วโลกเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 คลี่คลาย จำนวนผู้ป่วยใหม่และเสียชีวิตลดลงต่อเนื่อง
โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้ว่าขณะนี้โควิดใกล้สิ้นสุดแล้ว สอดคล้องกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ประกาศว่าการระบาดใหญ่ของโควิดในสหรัฐได้ยุติลงแล้ว
ส่วนในประเทศไทยสถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ นำมาสู่การเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ปรับโรคโควิด-19 จากโรคติดต่ออันตรายมาเป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง
และล่าสุดที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ (23 ก.ย.) เห็นชอบให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และกลับไปใช้ พ.ร.บ.โรคติดต่อแทน โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. นี้
หลังไทยเปิดประเทศหนุนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยคึกคัก โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมมากกว่า 5 ล้านคน ทำให้มั่นใจว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปีจะแตะ 10 ล้านคน ตามที่ตั้งเป้าไว้อย่างแน่นอน
ส่วนตลาดไทยเที่ยวไทยก็คึกคักไม่แพ้กัน หลังโรคระบาดคลี่คลาย ทำให้คนไทยออกมาท่องเที่ยว ออกมาใช้จ่ายมากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการของภาครัฐอย่างโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ส่งผลให้ครึ่งปีแรกมีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมรวมแล้วกว่า 74 ล้านคน-ครั้ง และทั้งปีน่าจะได้ 160 ล้านคน-ครั้ง
โดย ททท. คาดว่าปีนี้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะสร้างรายได้รวม 1.5 ล้านล้านบาท หรือ คิดเป็นสัดส่วนราวๆ 50% ของปี 2562 ก่อนที่จะเกิดวิกฤตโควิด-19
ขณะที่บรรยากาศการเดินทางระหว่างประเทศก็เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ขณะนี้หลายประเทศกลับมาเปิดให้ท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ หรือผ่อนคลายกฎระเบียบข้อบังคับ มาตรการการเดินทาง หวังดึงนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ
อย่างล่าสุด ญี่ปุ่นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ประเทศในฝันของหลายๆ คน ประกาศเตรียมเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 11 ต.ค. นี้ โดยไม่ต้องขอวีซ่า ไม่ต้องจองผ่านบริษัททัวร์
แถมไม่กำหนดโควต้านักท่องเที่ยวเข้าประเทศ จากปัจจุบันที่จำกัดเพดานไว้ 50,000 คนต่อวัน เรียกว่าทุกอย่างกลับไปเหมือนช่วงก่อนที่จะเกิดโรคระบาด
โดยญี่ปุ่นตั้งเป้าที่จะดึงนักท่องเที่ยวกลับเข้าประเทศเพื่อช่วยฟื้นเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองมานาน และแก้ปัญหาค่าเงินเยนอ่อนค่าอย่างหนักในรอบ 24 ปี
ส่วนไต้หวันเตรียมยกเลิกวีซ่านักท่องเที่ยวตั้งแต่ 29 ก.ย. นี้ และเพิ่มโควต้ารับนักท่องเที่ยวต่างชาติจาก 10,000 คน/สัปดาห์ เป็น 60,000 คน/สัปดาห์
รวมทั้งเปลี่ยนมาตรวจ ATK แทน RT-PCR เมื่อมาถึงสนามบิน ซึ่งหากทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม สเต็ปต่อไปเตรียมยกเลิกการกักตัวนักท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค. เป็นต้นไป
ขณะที่ฮ่องกงอยู่ระหว่างวางแผนยกเลิกการกักตัวนักท่องเที่ยวที่โรงแรม 3 วัน รวมทั้งข้อบังคับให้นักท่องเที่ยวต้องแสดงผลตรวจ RT-PCR ภายในเวลา 48 ชั่วโมงก่อนเดินทางถึงฮ่องกง
ด้านบล.ดาโอ ระบุว่า หุ้นที่จะได้ประโยชน์หลังญี่ปุ่นประกาศเปิดประเทศ ได้แก่ 1. AOT เพราะจะช่วยให้จำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศฟื้นตัวได้ดีขึ้น เนื่องจากเป็นประเทศที่คนไทยนิยมไปท่องเที่ยวมากเป็นอันดับต้นๆ
ทั้งนี้ในช่วงก่อนที่มีการระบาดโควิด-19 AOT มีจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศเที่ยวบินจากญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่ 4 รองจากจีน, อินเดีย และเกาหลีใต้ และมีสัดส่วนรายได้จากเที่ยวบินญี่ปุ่นราว 5% จากรายได้ที่เกี่ยวกับกิจการการบิน
2. AAV จะได้ประโยชน์จากการเปิดเที่ยวบินเส้นทางใหม่ โดยสายการบินไทยแอร์เอเชียจะเริ่มเปิดให้บริการเส้นทางบินใหม่ไปเมืองฟูกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงไตรมาส 3 นี้ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน
3. BAFS จะได้อานิสงส์จากจำนวนเที่ยวบินและปริมาณเติมน้ำมันอากาศยานที่เพิ่มขึ้น และ 4. GFPT จะได้รับประโยชน์จากปริมาณการส่งออกไก่ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งประเทศเป้าหมายหลักในการส่งออกไก่ของไทย คิดเป็นสัดส่วนราวๆ 48% ของการส่งออกทั้งหมด
ขณะที่ GFPT มีรายได้จากการส่งออกไปญี่ปุ่นในปี 2564 คิดเป็น 11% ของรายได้รวม โดยการส่งออกไปญี่ปุ่นคิดเป็น 50% ของรายได้จากการส่งออกของบริษัท
ด้านบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า หลังหลายประเทศเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยว กลายเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นเดินทางและท่องเที่ยว ได้แก่ AOT กลุ่มโรงแรมเน้นในประเทศERW, CENTEL, AWC, VRANDA และสายการบิน AAV, BA