บล.กสิกรไทย หวั่นหุ้นไทยหลุด 1,600 จุด หากเกิดความวุ่นวายทางการเมือง หลังศาลตัดสินนายกฯ 8 ปี
บล.กสิกรไทย ประเมินหากเกิดความวุ่นวายทางการเมืองหลังศาลตัดสินปมนายกฯ 8 ปี จะยิ่งกดดันให้เงินบาทอ่อนค่า ฟันด์โฟลว์ไหลออก มีโอกาสที่ SET จะหลุดแนวรับสำคัญ 1,600 จุด ซึ่งในกรณีเลวร้ายที่สุดจะมีแนวรับที่ระดับ 1,585 จุด
บล.กสิกรไทย ระบุว่า หากมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองนอกสภา หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปมนายกฯ 8 ปี จะเป็นปัจจัยเร่งให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง กดดัน Fund Flow ไหลออก โดยกรอบการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยจะมีแนวต้าน 1,630 จุด และ 1,655 จุด ส่วนแนวรับ 1,600 จุด และกรณี Worst Case คาดจะอยู่ที่ 1,585 จุด
ยังคงมุมมองเดิมคือ ปัจจัยพื้นฐานตลาดหุ้นไทยยังแข็งแกร่ง
1.) การทยอยปรับเพิ่ม GDP Growth ล่าสุด World Bank ปรับเพิ่มจีดีพีไทยเป็น 3.1%
2.) โอกาสการเกิด Recession ที่ยังต่ำ
ส่วนปัจจัยต่างประเทศต้องติดตาม วันที่ 7 ต.ค. ตัวเลขแรงงานสหรัฐ Nonfarm payrolls ของเดือน ก.ย. ตลาดคาด 2.5 แสนราย จาก 3.15 แสนรายของเดือน ส.ค. 2.) การประชุม OPEC+ วันที่ 5 ต.ค. และกลางเดือน 13 ต.ค. ติดตามตัวเลขอัตราเงินเฟ้อสหรัฐ เดือน ก.ย. และฝั่งจีน ติดตามการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน วันที่ 16 ต.ค.
ธีมการลงทุน
1.) ธีมเปิดเมืองในไทย แนะนำ BA, BJC, BEM
2.) ธีมจีนเตรียมเปิดประเทศ ติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหลัง ปธน.สิจิ้นผิง ต่อเทอมที่ 3 ช่วงกลางเดือน ต.ค. คาดจะบวกต่อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากจีนฟื้น อาทิ PSL, SCGP, AOT, SPA, EKH
3.) หุ้น Defensive อาทิ GULF
4.) กลุ่มกำไรไตรมาส 3 แข็งแกร่ง อาทิ TU
Top pick
- GULF (ราคาทางพื้นฐาน 49.50 บาท)
1.) เป็นหุ้น Defensive ในช่วงที่ตลาดหุ้นภาพรวมผันผวน
2.) ประเมินทิศทางกำไรโรงไฟฟ้า IPP อาทิ GULF ผลประกอบการครึ่งหลังจะฟื้นตัวชัด
3.) GULF กำลังพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าอีกหลายแห่งซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตในระยะยาวอีกทั้งยังกำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะดำเนินธุรกิจนอกกลุ่มโรงไฟฟ้า เช่น โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ซึ่งคาดจะเป็นแหล่งสร้างกำไรสุทธิใหม่และเพิ่มการเติบโตในระยะยาว
- TU (ราคาทางพื้นฐาน 22.50 บาท)
1.) คาดกำไรไตรมาส 3/2565 จะโต 12.5% YoY และ 34% QoQ เป็น 2.2 พันล้านบาท จากยอดขายที่เติบโตขึ้นแข็งแกร่ง GPM ที่เพิ่มขึ้น และไม่มีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว
2.) ขณะนี้หุ้น TU ซื้อขายอิงตาม PER ปี 2566 ที่ 11.3 เท่า หรือประมาณ 1.5SD ต่ำกว่าระดับ PER ล่วงหน้าในอดีต ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” จากมูลค่าหุ้นที่ไม่แพง โดย TU มีกำหนดที่จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2565 ในวันที่ 2 พ.ย.
ประเด็นเศรษฐกิจที่น่าติดตาม
- 3 ต.ค. : ดัชนีภาคการผลิตขนาดใหญ่จากการสำรวจ Tankan (ไตรมาส 3), ดัชนี PMI ภาคการผลิตของยุโรป (ก.ย.) ตลาดคาดทรงตัว 48.5 จุด, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต (ก.ย.)
- 4 ต.ค. : ดัชนี CPI ของโตเกียวที่ไม่รวมกลุ่มสินค้าอาหารและพลังงาน (เดือนต่อเดือน) (ก.ย.), ตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่จาก JOLTs (ส.ค.) ของสหรัฐ คาด 10 ล้านราย
- 5 ต.ค. : รายงานสินค้าคงเหลือของน้ำมันดิบประจำไตรมาสจาก API, ดัชนี PMI รวมจาก S&P Global (ก.ย.) ยุโรป คาด 48.2 จุด, การเปลี่ยนแปลงในการจ้างงานภาคนอกภาคเกษตรกรรมจากเอดีพี (ADP) (ก.ย.)
- 6 ต.ค. : ธนาคารกลางยุโรปจะตีพิมพ์รายงานการประชุมนโยบายการเงิน, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการก่อสร้างของอังกฤษ(Construction PMI) (ก.ย.)
- 7 ต.ค. : อัตราการว่างงานสหรัฐ(ก.ย.) ตลาดคาดทรงตัว 3.7%, ตัวเลข Nonfarm payrolls ของเดือน ก.ย. ตลาดคาด 2.5 แสนราย จาก 3.15 แสนรายของเดือน ส.ค.