'กองทุนหุ้นจีน' อ่วมหนักติดลบ 45% นักลงทุนแห่ขายหนัก หลังกังวลการเมือง
"กองทุนหุ้นจีน"อ่วมหนัติดลบ 30-40% ผู้จัดการกองทุนชี้ หากมีหุ้นอยู่แล้วแนะถือยาวรับผลตอบแทนดีในอนาคต แต่หากไม่มี ชะลอลงทุนดูนโยบายของ “สี จิ้น ผิง”ให้ชัดก่อน
หลังจากที่มีการเปิดโฉมหน้าทีมผู้บริหารชุดใหม่ ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง สมัยที่ 3 ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนใกล้ชิด สี จิ้นผิง และยังมีแนวโน้มว่าจะสนับสนุนนโยบาย ZERO COVID ต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันยังให้ความสำคัญกับการตรวจสอบกฎระเบียบเกี่ยวกับหุ้นเทคโนโลยีในจีน ส่งผลให้นักลงทุนเกิดวิตกกังวลและพากันเทขายหุ้นจีนออกมาจำนวนมาก โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีของจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ ร่วงแรง14.5% ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนีฮั่งเส็ง ของตลาดหุ้นฮ่องกง ก็ร่วงลงมาแตะระดับต่ำสุดในรอบ 13 ปี
โดยกองทุนหุ้นจีนยังได้รับผลกระทบเช่นกัน หากย้อนไปดูผลการดำเนินงานย้อนหลัง ตั้งแต่ต้นปียังคงติดลบหนักในระดับ 30-40% โดยผู้จัดการกองทุนต่างก็ยังคงจับตาดูว่า หลังจากนี้รัฐบาลจีนจะมีความเข้มงวดกับนโยบายใดอีกบ้าง
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทาลิส จำกัด เปิดเผยกับ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ถึงกรณีหุ้นกลุ่มเทคฯของจีนร่วงแรงในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า หลักๆยังคงเป็นประเด็นเรื่องการเมืองในจีน รวมถึง ZERO COVID-19 และการเข้ามาจัดการบริษัทหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี จึงส่งผลให้ดัชนีฮั่งเส็งของตลาดหุ้นฮ่องกงลงไป 6% จากการเทขายออกมาอย่างหนัก เพราะนักลงทุนขาดความมั่นใจกับการบริหารเศรษฐกิจ
นอกจากนี้จีนยังได้รับผลกระทบจากการที่สหรัฐฯจำกัดนโยบายการส่งออกเทคโนโลยี เช่น ชิป เป็นต้น จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในจีนช่วงระยะเวลา 2 - 3 ปีข้างหน้านี้ เพราะอาจจะต้องมาหาชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากประเทศอื่น ๆ แทน ซึ่งอาจส่งผลให้เทคโนโลยีบางอย่างด้อยคุณภาพลง
รวมถึงอาจจะต้องใช้เวลาในการพัฒนาปรับปรุงเทคโนโลยีนานกว่า 3 - 5 ปีได้ จึงมีหลายองค์ประกอบที่ทำให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนลงมาหนักมากเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่จีนเท่านั้นที่ร่วงลงมาแรง แม้แต่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ในดัชนี Nasdaq Dow Jones หรือ S&P 500 / Nasdaq ก็ร่วงหนักเช่นกัน
สำหรับนักลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีจีน ยังคงต้องเฝ้าระวังไปสักระยะไม่เกิน 12 เดือน เพื่อให้เกิดความคลี่คลาย หรือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อความขัดแย้งภายในประเทศจีนมากยิ่งขึ้น เพราะเชื่อว่าหลังจากนี้รัฐบาลจีนน่าจะยังคงทยอยออกนโยบายต่าง ๆ อย่างเข้มงวด
นายอิศรา พุฒตาลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วี จํากัด กล่าวว่า ก่อนที่จะมีการจัดประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ตลาดมีการคาดหวังไว้ว่า รัฐบาลจีน น่าจะมีการผ่อนคลายนโยบาย ZERO COVID-19 เพราะกระทบต่อเศรษฐกิจจีนค่อนข้างมาก แต่พอหลังจากที่มีการประชุมเกิดขึ้น นโยบาย ZERO COVID-19 คณะทำงานของรัฐบาลยังคงเข้มงวดเช่นเดิม และสิ่งที่เป็นอีกจุดที่พลิกผัน หลังจากประชุมเสร็จเลือกตั้งกรรมการชุดใหม่ ปรากฎเป็นคนของประธานาธิบดี สี จิ้นผิงทั้งหมด ส่งผลให้บุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับ สี จิ้นผิง จึงหลุดออกจากเก้าอี้ไปหมด และก่อนหน้านั้นได้มีการเชิญ ให้ หู จิ่นเทา อดีตประธานาธิบดีจีน ออกจากที่ประชุมไปด้วย
โดยหลายฝ่ายตีความว่า ทางการจีนน่าจะมีการดำเนินนโยบายอย่างเข้มงวด และน่าจะมีผลกระทบต่อธุรกิจเทคโนโลยีในอนาคต จึงเป็นเหตุส่งผลให้นักลงทุนเกิดความกังวลเป็นอย่างมาก
ดังนั้นจึงเป็นตัวส่งเสริมให้เศรษฐกิจจีนไม่เติบโต และหุ้นกลุ่มเทคปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นตัวใหญ่ ๆ อย่าง หุ้น Alibaba เจ้าตลาดแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ หุ้น Tencent หุ้น JD.com เกิดแรงเทขายออกมามากในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สี จิ้นผิง ไม่ค่อยให้ความสำคัญด้านเศรษฐกิจต่อการเติบโต แต่กลับให้ความสำคัญด้านความมั่นคงทางทหารมากกว่า แต่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้รับผลกระทบ หากดูด้านปัจจัยพื้นฐาน และ P/E ยังคงต่ำกว่า 10 เท่า โดยเฉพาะหุ้นตัวใหญ่ ๆ อย่าง หุ้น Alibaba หรือ Tencent เพราะค่อนข้างถูก จึงแนะนำลงทุน หากมีหุ้นกลุ่มเทคจีนอยู่ในพอร์ตแล้วไม่จำเป็นต้องรีบเทขายออกเพื่อทำกำไร แต่ให้ถือไว้ระยะยาวจะส่งผลตอบแทนที่ดีได้ในอนาคต แต่หากเป็นนักลงทุนที่ยังไม่เคยมีหุ้นกลุ่มเทคช่วงนี้อาจจะต้องชะลอการเข้าซื้อเพื่อดูนโยบายของจีนให้แน่ชัดก่อน