AAV-BA แพงไปหรือยัง? นิวไฮรอบ 3 ปี หวังจีนเปิดประเทศ
การท่องเที่ยวกลับมาคึกคึกอีกครั้ง ตั้งแต่ไทยเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ หลังสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลาย นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางเข้าไทยเฉลี่ยวันละหลายหมื่นคน ขณะที่ตลาดไทยเที่ยวไทยก็คึกคักไม่แพ้กัน
โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า 9 เดือนที่ผ่านมา ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมทะลุ 6 ล้านคนแล้ว ส่วนอีก 3 เดือนที่เหลือ ถือเป็นช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยวไทย บรรยากาศการเดินทางจะยิ่งคึกคักมากขึ้นไปอีก
คาดการณ์ว่าตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค. นี้ จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยเฉลี่ยเดือนละ 1.5 ล้านคน จึงมั่นใจว่าจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปีจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 10 ล้านคนอย่างแน่นอน หรือ คิดเป็นราวๆ 1 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวปี 2562 ก่อนที่จะเกิดโรคระบาด ซึ่งในปีนั้นจำนวนนักท่องเที่ยวทำสถิติสูงสุดตลอดกาลเกือบ 40 ล้านคน ส่วนปีหน้าตั้งเป้านักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 20 ล้านคน
ทั้งนี้ หากเจาะลงไปรายประเทศพบว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุด 5 อันดับแรก ตลอดช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ได้แก่
- มาเลเซีย
- อินเดีย
- สปป.ลาว
- สิงคโปร์
- กัมพูชา
ส่วน “จีน” ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของไทย ปรากฎว่าตั้งแต่เกิดโรคระบาดนักท่องเที่ยวจีนหายไปในพริบตา หลังรัฐบาลจีนใช้ยาแรงล็อกดาวน์ ห้ามเดินทางเข้าออกประเทศ ขณะที่ล่าสุด “สี จิ้นผิง” ผู้นำจีนประกาศในพิธีเปิดการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนว่า จะยังไม่ผ่อนปรนนโยบายโควิดเป็นศูนย์ หรือ Zero COVID
แม้ที่ผ่านมาจีนได้ผ่อนคลายหลายๆ มาตรการไปบ้างแล้ว แต่ท่าทีล่าสุดของผู้นำจีนที่ยังให้ความสำคัญกับการคุมโรคระบาด ย่อมส่งผลกระทบต่อตลาดท่องเที่ยวไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะจีนถือเป็นนักท่องเที่ยวหลักของเรา โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนทำสถิติใหม่ต่อเนื่องทุกปี เมื่อปี 2562 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยมากเกือบ 10 ล้านคน
แต่ล่าสุดเริ่มมีสัญญาณเชิงบวก หลังมีข่าวว่าจีนจ่อลดจำนวนวันกักตัวนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศเหลือเพียง 7 วัน ขณะเดียวกันสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน (CAAC) มีแผนที่จะเพิ่มจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศ ทั้งสายการบินในประเทศและสายการบินต่างชาติเป็น 840 เที่ยวต่อสัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 30 ต.ค. 2565 – 25 มี.ค. 2566 หรือ เพิ่มขึ้น 106% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ภาพรวมการเดินทางระหว่างประเทศของจีนในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเริ่มคึกคัก โดยมีการเดินทางเพิ่มขึ้น 73% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่าในช่วง 5 เดือนข้างหน้า จำนวนเที่ยวบินโดยสารภายในประเทศจะอยู่ที่ 92,970 เที่ยว หรือ เพิ่มขึ้น 2.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
เมื่อเริ่มมีสัญญาณบวกจากจีน หนุนให้หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวขยับตามทันที นำโดยหุ้นสายการบินที่เทคออฟขึ้นมาอย่างสวยงาม ทั้ง “แอร์เอเชีย” บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV ทำนิวไฮในรอบ 3 ปี ที่ 3.20 บาท โดยราคากลับไปเคลื่อนไหวเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด
เช่นเดียวกับ “บางกอกแอร์เวย์ส” บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ราคากลับไปเทรดเท่ากับช่วงก่อนเกิดโรคระบาด เดินหน้าทำนิวไฮในรอบ 4 ปี ที่ 13.70 บาท
สำหรับแอร์เอเชีย นักท่องเที่ยวจีนถือเป็นกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่มีสัดส่วนการใช้บริการมากที่สุด โดยมีไฟลต์บินไปหลายเมืองของจีน ซึ่งล่าสุดเริ่มกลับมาทยอยเปิดบินในหลายเส้นทางแล้ว เช่น กวางโจว, ฮ่องกง หลังจีนเพิ่มโควต้าให้สายการบินสัญชาติไทยตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา
ส่วนบางกอกแอร์เวย์สที่ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งจีนเป็นหนึ่งในตลาดหลัก มีแผนที่จะทยอยกลับมาเปิดบินเส้นทางจีนในช่วงไตรมาส 4 นี้ เช่น สมุย-ฉงชิ่ง, สมุย-เฉิงตู และสมุย-ฮ่องกง โดยบริษัทตั้งเป้าว่าจำนวนผู้โดยสารรวมปีนี้จะอยู่ที่ 2.1-2.2 ล้านคน และมีรอัตราการขนส่งผู้โดยสาร (Load Factor) ที่ 70%
ทั้งนี้ สำหรับการลงทุนในหุ้นสายการบินอาจจะต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น หลังที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาเยอะ กลับมาซื้อขายเท่ากับช่วงก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด ถือว่าซึมซับข่าวดีไปมากแล้ว แต่ในเมื่อสภาพแวดล้อมทางธุรกิจยังไม่ได้กลับมาเหมือนเดิม 100% ก็ต้องกลับมาคิดว่าที่ระดับราคาปัจจุบันมันเกินพื้นฐานไปแล้วหรือยัง?