โบรก ชี้ "หุ้นไทย"ปรับฐานระยะสั้น ยันไม่หลุด1,605 จุด
บล.กสิกรไทย ชี้ วานนี้ "หุ้นไทย” ผวาข่าวขีปนาวุธตกในโปแลนด์ กังวลนาโต้ตอบโต้-หุ้นโรงไฟฟ้าร่วงหนัก หวั่นรัฐตรึงค่าเอฟที ขณะที่ "หุ้นมอร์" กดดันบรรยากาศลงทุนหุ้นกลางเล็ก เชื่อดัชนีปรับฐานระยะสั้น ไม่หลุด1,605 จุด บล.ทิสโก้ เชื่อปีหน้าฟันด์โฟลว์ไหลเข้า
ความเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (16 พ.ย.65) แกว่งตัวในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยปรับตัวลงต่ำสุด 12.56 จุด อยู่ที่ 1,616.82 จุด ก่อนจะรีบาวด์ และมาปิดตลาดที่ 1,619.98 จุด ลดลง 9.40 จุด หรือ 0.58% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 61,524.93 ล้านบาท จากความกังวลกลุ่มองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) จะมีการตอบโตรัสเซียอย่างไร
หลังขีปนาวุธถูกยิงตกในโปแลนด์ และกระแสข่าวภาครัฐจะตรึงค่า FT ไม่ขึ้นไปตามแผนเดิม ส่งผลกดดันหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวลงยกแผงเฉลี่ยราว 3% และความกังวลหุ้น บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE จะมีการคุมเข้มปล่อยมาร์จินให้นักลงทุน ดังนั้น ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก
โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,371.74 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 694.51 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 637.24 ล้านบาท และ นักลงทุนทั่วไปในประเทศซื้อสุทธิ 1,429.01 ล้านบาท
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย กล่าวว่า หุ้นไทยปรับตัวลงนั้นเป็นไปทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค เนื่องจากความกังวลกรณีขีปนาวุธของรัสเซียถูกยิงตกในโปแลนด์ ตลาดรอดูว่าสหรัฐ และนาโต้จะตอบโต้อย่างไรออกมาบ้าง และมีความตึงเครียดมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต้องติดตาม
รวมถึงมีข่าวว่ารัฐบาลอาจจะตรึงค่า FT ไม่ได้ปรับขึ้นตามแผนเดิม ส่งผลให้หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวลดลงยกแผง ซึ่งเป็น2 ปัจจัยหลัก และยังมีความกังวล ในวันที่ 18 พ.ย. 2565 หุ้น MORE จะเป็นอย่างไรอาจะห็นภาพตลาดคุมเข้มการปล่อยมาร์จิ้น ส่งผลเชิงลบกับหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก
สำหรับการปรับตัวลงของดัชนีหุ้นไทยรอบนี้ เชื่อว่าเป็นการพักฐานระยะสั้น เพราะว่าดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาจาก 1,560 จุด มาอยู่ที่ระดับ 1,620-1,630 จุด ซึ่งกรอบการพักฐานภายในช่วงสิ้นเดือนนี้ โดยเชื่อว่าจะไม่หลุด 1,605 จุด และดัชนียังไม่ได้เป็นขาลง ซึ่งหากดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมาในระดับดังกล่าวก็เป็นจุดเข้าซื้อสะสมได้ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยพื้นฐานรองรับที่แข็งแกร่ง
“มองว่าหุ้นไทยปรับตัวลงวานนี้เป็นไปตามทิศทางของตลาดภูมิภาค ซึ่งมาจากความกังวลเรื่องความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์มากขึ้น หลังขีปนาวุธรัสเซียถูกยิงตกในโปแลนด์ ซึ่งตลาดดูท่าทีของสหรัฐและนาโต้จะมีการตอบโต้อย่างไรออกมาบ้าง และจะส่งผลต่อความตึงเครียดมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด”
โดยเฉพาะในส่วนของกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในไตรมาส 3 ปี 2565 ที่ประกาศออกมาแล้วส่วนใหญ่กำไรออกมาดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยฯ บล.กสิกรไทยคาดการณ์ไว้ เช่น กลุ่มธนาคาร (แบงก์) , กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม , กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ , กลุ่มค้าปลีก , กลุ่มยานยนต์ ซึ่งในช่วง 1-2 วันนี้ เป็นช่วงที่นักวิเคราะห์ประชุมกับทางผู้บริหารบจ. ซึ่งแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2565 ส่วนใหญ่แนวโน้มจะออกมาดี
ทั้งนี้ แม้ว่าอาจจะถูกกัดจากกลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มพลังงาน ที่ผลดำเนินงานกำไรออกมาลดลง ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้แนะนำเลือกลงทุนหุ้นที่มีรายได้ภายในประเทศ (domestic play) เช่น หุ้นกลุ่มอสังหาฯ แนะนำ บมจ.แสนสิริ (SIRI) กลุ่มอาหาร แนะนำ บมจ. อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย (RBF) ส่วนนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยออกไปขณะนี้ถือว่ายังไม่น่ากังวลเพราะที่ผ่านมาเข้ามาซื้อหุ้นไทยจำนวนมาก
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล. ทิสโก้ กล่าวว่า หุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลง มาจากความกังวลในสถานการณ์ระหว่างรัสเซียกับยูเครน หลังจากขีปนาวุธของรัสเซียถูกยิงตกในประเทศโปแลนด์ ส่งผลเกิดความกังวลให้หลังจากนี้กลุ่มนาโต้จะมีการตอบโต้รัสเซียอย่างไร ซึ่งขณะนี้ทางโปแลนด์ก็มีการเสริมกำลังทหารแล้ว
รวมถึงการประกาศงบการเงินของบจ.ในไตรมาส3 ปี 2565 ก็ประกาศออกมาหมดแล้ว ซึ่ง หลายกลุ่มที่ประกาศออกมากำไรต่ำกว่าคาดเช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, วัสดุก่อสร้าง, พลังงาน ,ปิโตรเคมี ฯลฯ ซึ่งขณะนี้ฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างการปรับกำไรของหุ้นในบางกลุ่มลง แต่ก็มีการปรับขึ้นกำไรบางกลุ่มที่ประกาศกำไรออกมาดีกว่าคาด ซึ่งขณะนี้ยังตอบไม่ได้ว่าผลออกมาแล้วหลังการปรับประมาณการดังกล่าวจะส่งผลกระทบกำไรปีนี้ และปีหน้าปรับตัวลงหรือไม่
ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่าระดับดัชนีขึ้นมาที่ระดับ1,650 จุด เป็นระดับที่แนะนำขายมากกว่าซื้อ โดยมีกรอบเทรดดิ้งอยู่ที่ 1,600-1,650 จุด โดยเลือกลงทุนเป็นหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ส่วนทิศทางฟันด์โฟลว์เชื่อในปีหน้าจะเป็นทิศทางไหลเข้า ซึ่งช่วงที่ขายออกมา เชื่อว่าเป็นเพราะ บจ. ประกาศงบไตรมาส 3 ปี 2565 แล้ว และที่ผ่านมาต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยจำนวนมาก จึงขายทำกำไรออกไปบ้าง
ส่วนกรณี หุ้น MORE เชื่อว่ามีส่วนส่งผลกระทบบรรยากาศการลงทุนหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กบ้าง ซึ่งนักลงทุนต้องเลือกลงทุนในหุ้นดังกล่าว โดยไม่ควรที่จะเข้าไปลงทุน เพราะเห็นราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง