PRIMO เตรียมขายไอพีโอ ขยายธุรกิจบริการอสังหาฯ
“พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น” เตรียมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ 80 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 15 บาท กำหนดวันจองซื้อขายระหว่าง 22-24 พ.ย. 2565 คาดเข้าเทรดวันแรกภายในสิ้นปีนี้ หวังนำเงินขยายธุรกิจบริการอสังหาฯ
บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI บริษัทในเครือของ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI โดย PRI ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจการให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มลูกค้าที่เกี่ยวเนื่องแบบครบวงจร (One Stop Service)
โดย PRI เตรียมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) ด้วยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 80 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 25% มูลค่าที่ตราไว้ (Par) 0.50 บาท มีกำหนดจองซื้อระหว่างวันที่ 22-24 พฤศจิกายน 2565 ในราคาหุ้นละ 15 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,200 ล้านบาท ซึ่งจะเข้าซื้อขายวันแรก (เทรด) ภายในปี 2565
สำหรับเป้าหมายการระดมทุน เนื่องจากต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สะท้อนผ่าน “เป้าหมายการเป็นผู้นำหนึ่งเดียวในธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์สมัยใหม่แบบครบวงจร”
นางสาวจตุพร วิไลแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI กล่าวว่า สำหรับวัตถุประสงค์เบื้องต้นในการเข้าระดมทุนเพื่อใช้เป็นเงินทุนในการขยายกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจปัจจุบัน และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน แต่จะสร้างการยอมรับและแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และมาตรฐานของบริษัทจะถูกยกระดับขึ้นทันที
ทั้งนี้ ที่สำคัญช่วยเพิ่มโอกาสต่อยอดวิสัยทัศน์ Total Life Service Solution เอื้อต่อการแสวงหาและดึงดูดพันธมิตรทางธุรกิจที่จะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง ให้ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคยิ่งกว่าเดิม พร้อมทั้งผลักดันผลประกอบการของบริษัท ให้มีแนวโน้มที่ดีและสร้างความมั่นคงในระยะยาว
โดยภายใน 3-5 ปีข้างหน้าบริษัทได้วางเป้าหมายรักษาการเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนผ่านการเติบโตเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี (2562-2564) ระดับ 30%
ณ ปัจจุบัน “พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น” ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น หรือ “Holding Company” ที่ประกอบธุรกิจการให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มลูกค้าที่เกี่ยวเนื่องแบบครบวงจร มีบริษัทลูก 8 แห่ง ที่รับงานบริการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำโดยแบ่งกลุ่มธุรกิจออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. กลุ่ม Pre-Living Services หรือกลุ่มธุรกิจต้นน้ำ สัดส่วนรายได้ ณ สิ้นไตรมาสแรกของปีนี้ 14.34% ให้บริการแก่กลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ต้องการใช้บริการออกแบบสถาปัตยกรรมอาคาร สำนักงานหรือโรงงาน ตลอดจนบริหารและควบคุมงานก่อสร้างโครงการ
2. กลุ่ม Living Services หรือกลุ่มธุรกิจกลางน้ำ สัดส่วนรายได้ 44.65% ให้บริการแก่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ลูกค้าของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนลูกค้าเกี่ยวเนื่อง เช่น ธุรกิจบริหารอาคาร (นิติบุคคล) ธุรกิจแม่บ้านทำความสะอาด ธุรกิจตัวแทนซื้อ-ขายและจัดหาผู้เช่าห้องชุดหรือบ้านจัดสรร ธุรกิจบริหารโรงแรมและที่อยู่อาศัย
โดยมี 2 บริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจนี้ คือ บริษัท พรีโม แมเนจเม้นท์ จำกัด (PMM) บริหารโครงการระดับกลางถึงกลางบน ถ้าเป็นคอนโดมิเนียมจะอยู่ในกลุ่มราคาไม่เกิน 150,000 บาทต่อตร.ม. และอีกบริษัทคือ บริษัท คราวน์ เรสซิเดนซ์ จำกัด บริหารโครงการไฮเอนด์ ในกลุ่มราคามากกว่า 150,000 บาท ต่อตร.ม.
อีกส่วนที่เป็นไฮไลท์ คือ บริษัท แฮมป์ตัน โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ แมเนจเมนท์ จำกัด หรือ HHR เป็นผู้รับบริหารยูนิตในที่พักอาศัยหรือโรงแรมให้มีมาตรฐานการให้บริการเทียบเคียงได้กับโรงแรมหรือเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ในระดับสากล และบริษัท Passion Realtor ที่ให้บริการเป็นตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ และทำการตลาดโครงการแบบครบวงจร ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งให้บริการก่อนและหลังการขายอสังหาริมทรัพย์ทั้งเพื่อการอยู่อาศัย และเพื่อการลงทุน
และ 3. กลุ่ม Living & Earning Services สัดส่วนรายได้ 40.89% กลุ่มธุรกิจปลายน้ำให้บริการแก่ลูกค้าของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หรือ ลูกบ้าน เช่น ลูกค้าคอนโดมิเนียม ลูกค้าหมู่บ้านจัดสรร รวมถึงลูกค้าอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น โรงงาน โรงแรมศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน
โดยถือเป็นธุรกิจที่กำลังเป็นเทรนด์ มีโอกาสสร้างรายได้สูง ภายใต้ บริษัท วายด์ อินทีเรีย จำกัด (Wyde) บริษัทเริ่มเข้าไปจับตลาด B2B ได้
ทั้งนี้ บริการภายใต้บริษัทในเครือของ PRI นับเป็นบริการที่ครอบคลุมตลาดทั้งกลุ่ม B2B และกลุ่ม B2C ตอบโจทย์ทุกจังหวะของการใช้ชีวิต มีบริการลักษณะ One-stop service ที่เข้าถึงและเข้าใจความต้องการเชิงลึก (Insight) ของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม เราเล็งเห็นโอกาสในการเติบโตผ่านการระดมทุน เพิ่มโอกาสของ PRI ในการลงทุนขยายกิจการ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการขยายธุรกิจในเชิงรุก เพื่อสร้างโอกาสการโตของธุรกิจ