MAJOR พร้อมโกยเงิน ‘อวตาร’ เตรียมลงโรงฉาย
สิ้นสุดการรอคอยกว่า 13 ปี เพราะเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วัน แฟนหนังทั่วโลกกำลังจะได้รับชมสุดยอดภาพยนตร์ภาคต่อฟอร์มยักษ์
Avatar 2 : The Way of Water หรือในชื่อภาษาไทย “อวตาร วิถีแห่งสายน้ำ” ซึ่งมีกำหนดลงโรงเข้าฉายในบ้านเรา 14 ธ.ค. นี้ หลังถูกเลื่อนฉายมาหลายรอบ เนื่องจากการระบาดของโควิด-19
ซึ่งภาคนี้ยังได้ผู้กำกับฝีมือดี “เจมส์ คาเมรอน” มากำกับเช่นเดิม พร้อมด้วยทัพนักแสดงชั้นนำอีกมากมาย โดยเรื่องราวของภาคนี้ทางผู้กำกับยืนยันว่า ยังคงความเข้มข้น สนุกสนาม ตื่นเต้นเหมือนเดิม ด้วยเทคนิคการถ่ายทำสุดล้ำสมัย ทำให้ได้ภาพที่สมจริงและสวยงามยิ่งกว่าภาคแรก แถมจัดหนักจัดเต็มให้รับชมกันยาวๆ กว่า 3 ชั่วโมง
ปัจจุบัน “อวตาร” ยังคงครองแชมป์ภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล โดยกวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 2.85 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ในประเทศไทยกระแสตอบรับถล่มทลายเช่นกัน ทำรายได้ไปมากกว่า 260 ล้านบาท
ส่วนในภาค 2 นี้ เชื่อว่าจะยังโกยรายได้เป็นเป็นกอบเป็นกำ เพราะถือเป็นภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่แฟนๆ ทั่วโลกเฝ้ารอมานาน ประกอบกับช่วงนี้เป็นจังหวะที่ดี หลังสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลาย สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ โรงหนังที่เคยเงียบเหงามานานก็คึกคักอีกครั้ง
อย่างในประเทศไทยทุกวันนี้บรรยากาศในโรงหนังกลับสู่ภาวะปกติ หนุนรายได้บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR เจ้าของธุรกิจโรงภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของประเทศฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 1,719 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อนที่มีรายได้ 1,639 ล้านบาท และพุ่งแรง 951% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 164 ล้านบาท
โดยแนวโน้มผลประกอบการของ MAJOR จะยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง ล่าสุดทางผู้บริหารคาดว่าปีนี้จะมีรายได้ราว 7,000 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 70% ของรายได้ปี 2562 หลัง 9 เดือนแรกทำรายได้ไปแล้ว 4,820 ล้านบาท โดยช่วงไตรมาส 4 ถือเป็นไฮซีซัน และปีนี้มีภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่หลายเรื่องเข้าฉาย ทั้ง Black Panther: Wakanda Forever และAvatar 2: The Way of Water
ส่วนปี 2566 มั่นใจว่ารายได้จะกลับมาแตะหลักหมื่นล้านได้อีกครั้ง บริษัทพร้อมเร่งเครื่องขายธุรกิจเต็มสูบ ตั้งงบลงทุนรวม 800-1,000 ล้านบาท โดยมีแผนเปิดโรงภาพยนตร์เพิ่มอีก 13 สาขา รวม 49 โรง, โบว์ลิ่งอีก 3 สาขา 40 เลน และคาราโอเกะ 30 ห้อง
จากปัจจุบัน MAJOR มีโรงภาพยนตร์ทั้งหมด 180 สาขา รวม 839 โรง จำนวนที่นั่ง 188,973 ที่นั่ง แบ่งเป็นในประเทศ 172 สาขา 800 โรง 180,081 ที่นั่ง และต่างประเทศอีก 8 สาขา 39 โรง 8,449 ที่นั่ง
อีกธุรกิจที่มาแรงและช่วยประคับประคองบริษัทในช่วงภาวะวิกฤตที่ผ่านมา คือ “ธุรกิจป๊อปคอร์น” ปีหน้ามีแผนรุกธุรกิจต่อเนื่อง หลังทุ่มเงินกว่า 1,200 ล้านบาท เข้าถือหุ้น 10% ในบริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN จับมือขยายธุรกิจป๊อปคอร์นออกนอกโรงหนังส่งขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งบริษัทตั้งเป้าปีหน้ากลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวจะสร้างรายได้ครึ่งหนึ่งของรายได้รวม หรือ ราว 5,000 ล้านบาท
บล.คิงส์ฟอร์ด ประเมินภาพรวมการดำเนินงานปกติของ MAJOR ในปีนี้และปีหน้าจะฟื้นตัวตัวได้ดี โดยตลาดคาด EPS ปี 2565 และ 2566 จะพลิกกลับมามีกำไรที่ 0.46 และ 1.00 บาทต่อหุ้น รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศ
ด้านผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2565 การดำเนินงานปกติจะฟื้นตัวต่อเนื่องทั้ง YoY และ QoQ เป็นผลจากรายได้ค่าโฆษณาที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังได้แรงหนุนจากการขายอาหารและเครื่องดื่มโดยเฉพาะป๊อปคอร์น ประกอบกับมีภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่หลายเรื่องเข้าฉาย เช่น Black Panther: Wakanda Forever, Avatar: The Way of Water เป็นต้น
บล.ทิสโก้ ระบุว่า ยังประมาณกำไรสุทธิปี 2565-2566 อยู่ที่ 520 ล้านบาท และ 725 ล้านบาท ตามลำดับ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่ขาดทุนจากธุรกิจหลัก 636 ล้านบาท (ไม่รวมรายการพิเศษบันทึกกำไรจากการขายหุ้น SF) และคาดรายได้ธุรกิจป๊อปคอร์นเพิ่มขึ้น 99% และปีถัดไปอีก 15% จากการขยายช่องทางจัดจำหน่ายผ่านเดลิเวอรี่
ส่วนรายได้ค่าโฆษณาปีนี้คาดเติบโต 151% และปีถัดไป 15% ตามรายได้จากภาพยนตร์ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีอัตรากำไรสุทธิที่ 7.8% และ 8.8% ตามลำดับ