ดาวโจนส์ร่วงในกรอบแคบ 73 จุด ปิดฉากการซื้อขายวันสุดท้ายของปี2565
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันศุกร์ (30 ธ.ค.)ซึ่งเป็นการซื้อขายวันสุดท้ายของปีนี้ ด้วยการปรับตัวร่วงลงในกรอบแคบ 73 จุด โดยตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปิดทำการในวันจันทร์ที่ 2 ม.ค.2566 เนื่องในวันปีใหม่
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ร่วงลง 73.55 จุดหรือ 0.22% ปิดที่ 33,147.25 จุด
ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลง 0.25% ปิดที่ 3,839.50 จุด
ดัชนีแนสแด็ก ร่วงลง 0.11% ปิดที่ 10,466.88 จุด
สำหรับการซื้อขายในปีนี้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ทำสถิติดิ่งลงมากที่สุดเมื่อเทียบรายปีนับตั้งแต่ปี 2551 หลังจากที่ดีดตัวขึ้น 3 ปีติดต่อกัน โดยขณะนี้ ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 8.58% นับตั้งแต่ต้นปี 2565 ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 และดัชนีแนสแด็กทรุดตัวลง 19.24% และ 33.03% ตามลำดับ
หุ้นกลุ่มสื่อสาร เป็นกลุ่มที่ทรุดตัวลงหนักที่สุดในปีนี้ โดยดิ่งลงกว่า 40% ขณะที่ หุ้นกลุ่มพลังงาน เป็นกลุ่มเดียวที่ปรับตัวขึ้น โดยพุ่งขึ้นเกือบ 58%
"ถึงแม้ยังคงมีคำถามมากมายขณะที่เราก้าวเข้าสู่ปีใหม่ แต่เราก็มีความสุขที่จะได้เห็นปี 2565 จบสิ้นลงเสียที" นางรีเบคคา เฟลตัน นักกลยุทธ์การตลาดของบริษัท Riverfront Investment Group กล่าว
นักลงทุนคาดหวังในช่วงต้นปีนี้ว่า ตลาดหุ้น จะปรับตัวสดใส ขณะที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้น หลังประเทศต่างๆผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งช่วยกระตุ้นอุปสงค์ และแก้ไขปัญหาห่วงโซ่อุปทาน
อย่างไรก็ดี หลังจากที่รัสเซียประกาศบุกโจมตียูเครนในวันที่ 24 ก.พ. ทำให้สหรัฐและชาติตะวันตกออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ทำให้ทั่วโลกเกิดการขาดแคลนพลังงานและอาหารอย่างหนัก และเป็นสาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้น จนทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางทั่วโลกเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกเกิดความพลิกผัน และปรับตัวลงอย่างหนักในปีนี้
สำหรับทิศทางของตลาดในปีหน้า นักวิเคราะห์แสดงความเห็นว่าตลาดยังคงถูกกดดันจากเงินเฟ้อ, ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์จาก สงครามรัสเซีย-ยูเครน และความขัดแย้งใน ช่องแคบไต้หวัน รวมทั้งการกลับมาแพร่ระบาดของโควิด-19 หลังจากที่จีนผ่อนคลายมาตรการโควิดเป็นศูนย์ และกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง
"สิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้ถูกผลักดันโดยเฟดจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและปรับลดขนาดงบดุล ส่วนในปีหน้า ผมคิดว่าเฟดจะไม่ได้เป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนตลาด แต่จะเป็นเรื่องของบริษัทจดทะเบียน และปัจจัยพื้นฐาน โดยบริษัทที่มีผลประกอบการดีจะดีดตัวขึ้น" นายแพทริก อาร์มสตรอง หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Plurimi Wealth LLP กล่าว