ลุ้นเกิด January Effect ดันหุ้นไทยรับศักราชใหม่
กลายเป็นธรรมเนียมของตลาดหุ้นไปแล้วเมื่อเข้าสู่ศักราชใหม่ นักลงทุนจะเฝ้ารอดูว่าจะเกิดปรากฏการณ์ “January Effect” ที่ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นในช่วงต้นปีหรือไม่? เพราะถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เป็นการเอาฤกษ์เอาชัยรับปีใหม่
January Effect ไม่ใช่ทฤษฎีที่ตายตัวว่าต้องเกิดขึ้นทุกปี แต่อิงมาจากพฤติกรรมของนักลงทุนที่ช่วงสิ้นปีมักจะมีการปรับพอร์ต ขายทำกำไรก่อนหยุดยาว และกลับมาซื้อใหม่ในช่วงต้นปี ขณะที่หลายคนเงินโบนัสออกก็อยากนำเงินมาลงทุน
ทั้งนี้ การเกิด January Effect ยังขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัย โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจในช่วงนั้นๆ ถ้าเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดี ไม่มีปัจจัยถ่วงมากดดัน โอกาสที่จะเกิด January Effect ก็มีมากขึ้น
โดย ณัฐ ตรีพูนสุข นักกลยุทธ์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า หากอิงจากสถิติในอดีตตลาดหุ้นไทยมักให้ผลตอบแทนเป็นบวกในเดือน ม.ค. โดยให้ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ปี จาก 10 ปี เฉลี่ยราว 1.9%
น่าจะมาจากการที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์มักประเมินว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียน และภาวะเศรษฐกิจไทยในปีนั้นๆ จะดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จึงทำให้เกิดการเข้าสะสมหุ้นในช่วงเดือน ม.ค. อยู่เสมอ
ซึ่ง กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่
1.) กลุ่มธนาคาร ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +3.0% โดยให้ผลตอบแทนเป็นบวก 9 ปี และให้ผลตอบแทนติดลบเพียงปีเดียวคือปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการแพร่ระบาด โควิด-19
2.) กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +3.0% และให้ผลตอบแทนเป็นบวก 8 ปี จาก 10 ปี
3.) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +2.2% โดยให้ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ปี จาก 10 ปีย้อนหลัง ซึ่งจะเห็นว่าทั้ง 3 กลุ่มมีความสอดคล้องต่อภาวะเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก
ส่วนในปี 2566 คาดว่าจะเกิด January Effect เช่นกัน แม้เศรษฐกิจโลกจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ยังมีปัจจัยหนุนที่จะทำให้ SET INDEX ปรับตัวขึ้นได้ดีในเดือน ม.ค. นี้ ได้แก่
1.) แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2566 ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่าจีดีพีจะเติบโต 3.8% เร่งขึ้นจากปี 2565 ที่ระดับ 3.2% 2.) จีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการ Zero-Covid และจะเปิดประเทศ 8 ม.ค. นี้ และ 3.) ความเสี่ยงที่จะเกิดเศรษฐกิจถดถอยสะท้อนลงไปในราคาสินทรัพย์ทั่วโลกแล้วในระดับหนึ่ง
ดังนั้น การเก็งกำไรในธีม January Effect ต้องเน้นเข้าลงทุนในหุ้นกลุ่ม Domestic Plays ได้แก่ 1.) กลุ่มธนาคารที่ผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2565 โต QoQ และ YoY 2.) กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์จากนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมาเดินทางอีกครั้ง และ 3.) กลุ่มอสังหาฯ ที่คาดกำไรจะเติบโต QoQ และ YoY โดยมีหุ้น Top Picks ได้แก่ KBANK, BBL, TISCO, AOT, BEM, SC และ ORI
ด้าน วีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า หากอิงจากสถิติในอดีตตลาดหุ้นไทยเดือน ม.ค. ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ปี จาก 10 ปี เฉลี่ยราว 2.5% แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับช่วงปลายเดือน ธ.ค. ด้วยว่า ตลาดจะเป็นอย่างไร ถ้าตลาดบวกแรงจากการทำ Window Dressing พอเข้าสู่ปีใหม่ก็อาจขึ้นไม่เยอะ
สำหรับปีนี้ยังมีโอกาสที่จะเกิด January Effect จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยธีมหลักที่น่าสนใจยังเป็นธีมเปิดเมือง ทั้งกลุ่มค้าปลีก ร้านอาหาร ปั๊มน้ำมัน ที่จะได้รับอานิสงส์จากมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ในช่วงระหว่างวันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ. นี้
โดย หุ้นTop Pick รับธีมเปิดประเทศ ได้แก่ MAKRO, CPALL, MK และ CENTEL รวมทั้งกลุ่มที่แนวโน้มผลประกอบการฟื้นตัวต่อเนื่อง แนะนำ BEM รับอานิสงส์จากผู้ใช้บริการทางด่วนและรถไฟใต้ดินที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการใช้บริการของกลุ่มนักท่องเที่ยว และกลุ่มโรงไฟฟ้าจากการปรับขึ้นค่า Ft แนะนำ BGRIM ส่วนกลุ่มพลังงาน แนะนำ BCP