ปีทอง "หุ้นโรงไฟฟ้า" สารพัดปัจจัยบวกหนุน
“หุ้นโรงไฟฟ้า” มีจุดเด่นเรื่องความมั่นคง เนื่องจากจะมีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอตามสัญญาซื้อขายไฟที่ทำไว้ ผลประกอบการจึงไม่ค่อยผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจ
ทำให้นักลงทุนหลายๆ คน เลือกที่จะซื้อ หุ้นโรงไฟฟ้า ติดพอร์ตไว้ แม้ ราคาหุ้น จะไม่หวือหวาเท่ากลุ่มอื่นๆ แต่ช่วยกระจายความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี
ยิ่งปีนี้น่าจะเป็นอีกปีที่ดีสำหรับ ธุรกิจโรงไฟฟ้า เนื่องจากมีหลายปัจจัยบวกเข้ามาหนุน ตั้งแต่การปรับ ขึ้นค่าFt ใหม่ งวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 2566 โดยกลุ่มบ้านอยู่อาศัยยังคงค่า Ft ไว้เท่าเดิม 93.43 สตางค์ต่อหน่วย หรือ คิดเป็นค่าไฟที่หน่วยละ 4.72 บาท เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน
ส่วนกลุ่มอื่นๆ ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม บริษัท ห้าง ร้านต่างๆ ตอนแรกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติให้ปรับขึ้นค่า Ft เป็น 190.44 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฐานจะทำให้ค่าไฟของกลุ่มนี้เพิ่มเป็นหน่วยละ 5.69 บาท
สร้างความกังวลใจให้กับภาคเอกชนเพราะจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนโดยตรง จนต้องออกมาเคลื่อนไหวยื่นหนังสือขอเข้าหารือกับนายกฯ และกระทรวงพลังงานเพื่อให้ทบทวนมติดังกล่าว
โดยเอกชนมองว่า การขึ้นค่าไฟ ช่วงนี้ยังไม่เหมาะสม เนื่องจากเศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ขณะที่ ค่าแรง พึ่งจะปรับขึ้นไปได้ไม่นาน ถ้าค่าไฟมาขึ้นอีก เอกชนคงรับไม่ไหวเช่นกัน นอกจากนี้ยังกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนของต่างชาติ
เมื่อมีแรงต้านในที่สุด กกพ. ยอมถอย ตัดสินใจปรับขึ้นค่า Ft กลุ่มนี้ เหลือ 154.02 สตางค์ต่อหน่วย หรือ คิดเป็นค่าไฟหน่วยละ 5.33 บาท จากเดิมที่หน่วยละ 5.69 บาท
การปรับขึ้นค่า Ft เป็นปัจจัยบวกโดยตรงให้กับผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า เพราะจะขายไฟได้ในราคาที่สูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่จะขายไฟให้กับลูกค้าภาคอุตสาหกรรม (IU)
บล.ทรีนีตี้ ประเมินว่าค่าไฟที่ขึ้นมา 1 สตางค์ต่อหน่วย จะทำให้กำไรของ BGRIM ซึ่งมีสัดส่วนลูกค้า IU ในประเทศ 24% เพิ่มขึ้น 24 ล้านบาทต่อปี หรือราวๆ 1,454 ล้านบาทในปี 2566 ภายใต้สมมติฐานว่าจะไม่มีการลดค่าไฟตลอดทั้งปี ส่วน GPSC ซึ่งมีสัดส่วนลูกค้า IU อยู่ 22% กำไรจะเพิ่มขึ้น 63 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นประมาณ 3,817 ล้านบาทในปี 2566
ส่วนปีนี้หลายบริษัทเตรียมเปิดเดินเครื่องโรงไฟฟ้าใหม่ ทำให้รับรู้รายได้จากการขายไฟเข้ามามากขึ้น เช่น พี่ใหญ่ประจำกลุ่ม GULF จะมีกำลังการผลิตใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มเข้ามาเกือบ 3,000 เมกะวัตต์ ส่วน RATCH มี 3 โครงการใหม่ที่จะเดินเครื่องปีนี้ ด้วยกำลังการผลิตรวมกว่า 900 เมกะวัตต์
GPSC ตามแผนปีนี้จะมี 2 โครงการใหม่เริ่มขายไฟ กำลังการผลิตรวมเกือบ 200 เมกะวัตต์ ด้าน EGCO ในช่วง 2 ปีนี้จะมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามา 805 เมกะวัตต์ ส่วน BGRIM ปีนี้จะมีทั้งหมด 4 โครงการ รวมกว่า 200 เมกะวัตต์
ขณะที่ในฝั่งต้นทุนมีแนวโน้มลดลงตามราคาก๊าซที่ปรับตัวลงมาต่อเนื่อง ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยซึ่งจะทำให้ความต้องการใช้พลังงานลดลง
โดยข้อมูลจาก บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า ราคาก๊าซปรับลดลงเร็วมากตั้งแต่ปลายเดือน ส.ค. 2565 โดยปัจจุบันราคาสัญญาก๊าซล่วงหน้าในสหรัฐอยู่ที่ประมาณ 4 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู หรือลดลง 59% จากระดับสูงสุด 9.7 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู เมื่อปลายเดือน ส.ค. 2565
นอกจากนี้ กลุ่มโรงไฟฟ้ายังได้รับประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินบาท เนื่องจากกู้เงินในรูปสกุลเงินดอลลาร์จำนวนมาก เมื่อเงินบาทแข็งค่าแรงอย่างเช่นช่วงนี้ที่แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 8 เดือน หลุดลงไปต่ำกว่า 34 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้หนี้ลดลงและยังจะมีการรับรู้กำไรพิเศษจากอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาด้วย
ขณะเดียวกันภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก โดยเฉพาะตลาดจีนที่มีการคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยราว 5 ล้านคน จะทำให้มีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
ด้านบล.เอเซีย พลัส คาดการณ์กำไรกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ปี 2566 จะเพิ่มขึ้นราว 18% YoY โดยได้ปัจจัยหนุนหลักจาก GULF ที่จะเห็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง 42% YoY จากการรับรู้โครงการใหม่ที่คาดจะ COD เข้ามาในปี 2566 ราว 1.5-1.7 พันเมกะวัตต์
รวมถึงกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่มีสัดส่วนขายไฟฟ้าให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมค่อนข้างสูงอย่าง BGRIM และ GPSC ที่คาดจะได้รับอานิสงค์จากค่า Ft ที่เพิ่ม และทิศทางราคาก๊าซที่ทยอยปรับตัวลดลง ส่งผลให้กำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำในปี 2565
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวจะค่อยเป็นค่อยไปและยังไม่กลับสู่สภาวะปกติเทียบเท่ากับปี 2564 ขณะที่กลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีถ่านหินเป็นสัดส่วนหลักอย่าง BPP คาดกำไรปรับตัวขึ้นราว 15% YoY จากต้นทุนถ่านหินที่ค่อยๆ ลดลงเช่นกัน
ส่วนโรงไฟฟ้า IPP อย่าง RATCH, EGCO ที่ต้นทุนพลังงานส่วนใหญ่จะส่งผ่านไปยังภาครัฐ (EGAT) ได้เกือบทั้งหมด การเปลี่ยนแปลงของราคาพลังงานจึงส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทไม่มาก กำไรจากการดำเนินงานจะแปรผันตามการเรียกซื้อไฟฟ้าจากทางภาครัฐ
โดยในปี 2566 คาด RATCH จะมีกำไรเพิ่มขึ้น 14% YoY จากการรับรู้โครงการใหม่ๆ ราว 900 เมกะวัตต์ ขณะที่ EGCO คาดกำไรลดลง 22% YoY เนื่องจากฐานกำไรที่สูงผิดปกติในปีก่อน เนื่องจากโรงไฟฟ้าพาจู ประเทศเกาหลีใต้ ได้รับผลบวกจากการทำสัญญาซื้อขายก๊าซล่วงหน้า