ดาวโจนส์ร่วง 112 จุดสวนทางวันศุกร์ที่ทะยาน 700 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันจันทร์(9ม.ค.)ปรับตัวร่วงลง 112 จุด ถูกกดดันจากราคาหุ้นกลุ่มบริษัทเวชภัณฑ์ชั้นนำอย่างเมิร์ค และบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันที่ปรับตัวร่วงลง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 112.96 จุด หรือ 0.3% ปิดที่ 33,517.65 จุด เพราะถูกกดดันจากราคาหุ้นกลุ่มบริษัทเวชภัณฑ์ชั้นนำอย่างเมิร์ค และบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวร่วงลง 0.1% หรือ 2.99 จุด ปิดที่ 3,892.09 จุด สวนทางกับดัชนีแนสแด็ก ที่ปรับตัวขึ้น 66.36 จุด หรือ 0.6% ปิดที่ 10,635.65 จุด
อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 700 จุดเมื่อวันศุกร์(6ม.ค.) ขานรับรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร รวมทั้งดัชนีภาคบริการของสหรัฐ ซึ่งบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว และจะเป็นปัจจัยหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ สหรัฐ เปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสูงกว่าคาดในวันศุกร์ แต่ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับเงินเฟ้อนั้น ออกมาต่ำกว่าคาด
ขณะเดียวกัน สถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐหดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดได้ช่วยลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจสหรัฐ
นอกจากนี้ ISM เปิดเผยว่า ดัชนีราคาในภาคบริการร่วงลงสู่ระดับ 67.6 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2564 และบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเงินเฟ้อ
นักลงทุนจับตาดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนธ.ค.ในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งคาดว่าตัวเลข CPI ดังกล่าวจะบ่งชี้ภาวะชะลอตัวของเงินเฟ้อสหรัฐเช่นกัน
ขณะเดียวกัน ตลาดจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ซึ่งจะกล่าวสุนทรพจน์ว่าด้วยความเป็นอิสระของธนาคารกลางในการเสวนาที่จะจัดขึ้นที่กรุงสตอกโฮล์มพรุ่งนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้
นอกจากนี้ ตลาดจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐในวันศุกร์ ได้แก่ เจพีมอร์แกน, ซิตี้กรุ๊ป, แบงก์ ออฟ อเมริกา และเวลล์ ฟาร์โก