"หุ้นรับเหมา"เทิร์นอะราวด์ รับเลือกตั้งใหม่"รัฐ-เอกชน"เร่งลงทุน
สัญญาณการเลือกตั้งใหม่เริ่มชัดเจนขึ้น หลังรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ออกมาให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าจะมีการยุบสภาแน่นอน หลังปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ 28 ก.พ. ทำให้ช่วงนี้แต่ละพรรคการเมืองเริ่มออกมาเคลื่อนไหว เปิดตัวนโยบายหาเสียง เปิดตัวสมาชิกใหม่อย่างคึกคัก
สำหรับ ตลาดหุ้น มักจะได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากการเลือกตั้งเช่นกัน เพราะจะมีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจากนโยบายของพรรคการเมือง โดยรัฐบาลใหม่เมื่อเข้ามาบริหารประเทศต้องเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แก้ปัญหาปากท้อง ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน เดินหน้าลงทุนตามที่ได้หาเสียงไว้
โดยบล.ทรีนีตี้ ระบุว่า จากการเลือกตั้ง 12 ครั้งล่าสุด นับตั้งแต่ปี 2531 พบว่าในช่วง 3 เดือนแรกก่อนการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทน 5.2% จากการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหนึ่งในหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากการเลือกตั้ง คือ “กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง” เพราะการลงทุนไม่ว่าจะเป็นระบบสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เป็นนโยบายหลักของทุกพรรคการเมืองอยู่แล้ว
และยิ่งรัฐบาลใหม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจเติบโตดีขึ้น จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชน คงได้เห็นการเปิดตัวโปรเจคใหม่ๆ จากภาคเอกชนตามมาอีกหลายโครงการ
ปีนี้น่าจะเป็นปีที่ดีของธุรกิจก่อสร้าง โดยนายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ “ลิซ่า งามตระกูลพานิช” คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยปีนี้จะเติบโต 3-5% หลังสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 คลี่คลาย หนุนเศรษฐกิจขยายตัวดีขึ้น การลงทุนก่อสร้างจะได้อานิสงส์ไปด้วย
และหลังเลือกตั้งโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ที่เคยถูกเลื่อนออกไป หรือเกิดความล่าช้าในช่วงที่เกิดโรคระบาด เช่น อีอีซี, รถไฟฟ้า, รถไฟความเร็วสูง ฯลฯ จะกลับมาเดินหน้าอีกครั้ง
โดยบล.กสิกรไทย ระบุว่า ขณะนี้มี 6 โครงการเมกะโปรเจกต์ที่รอเข้าครม. มูลค่าการก่อสร้างรวม 5 แสนล้านบาท ได้แก่
- รถไฟฟ้าความเร็วสูงไทย-จีน เฟส 2 มูลค่า 3 แสนล้านบาท
- รถไฟฟ้าสายสีแดงส่วนต่อขยาย 5.8 หมื่นล้านบาท
- รถไฟทางคู่ ชุมทางจิระ-อุบลราชธานี 3.8 หมื่นล้านบาท
- รถไฟทางคู่ขอนแก่น-หนองคาย 2.7 หมื่นล้านบาท
- รถไฟทางคู่ปากน้ำโพ-เด่นชัย 6.3 หมื่นล้านบาท
- มอเตอร์เวย์ บางปะอิน-นครราชสีมา 6.7 พันล้านบาท
ซึ่งหากไม่ทันในรัฐบาลชุดนี้ คงนำเข้าสู่การพิจารณาของครม. ชุดใหม่ในรัฐบาลหน้า
ด้านบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า หุ้นรับเหมาก่อสร้าง ได้รับกระแสเชิงบวกจากการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นภายในปีนี้ บนความคาดหวังว่าทุกพรรคการเมืองจะชูนโยบายลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในการหาเสียง ช่วยเติม Backlogให้กับกลุ่มรับเหมา ซึ่งปัจจุบัน 12 บริษัทรับเหมาที่ฝ่ายวิจัยเก็บข้อมูล มีงานในมือ (Backlog) รวมกันสูงถึง 5.7 แสนล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์
โดยปี 2566 คาดหวังจะเห็นการเปิดประมูลโครงการใหญ่เพิ่มเติมอีกหลายโครงการ เช่น รถไฟทางคู่เฟส 2 อีก 3 เส้นทาง คือ ขอนแก่น-หนองคาย, ปากน้ำโพ-เด่นชัย, ชุมทางจิระ-อุบลราชธานี, รถไฟไทยจีนระยะที่ 2 ช่วงโคราช-หนองคาย, รถไฟชานเมืองสายสีแดงส่วนต่อขยาย
ทางด่วนกะทู้-ป่าตอง, ถนนมอเตอร์เวย์ช่วงบางขุนเทียน-บางบัวทอง, ส่วนต่อขยายดอนเมืองโทลย์เวย์ช่วงรังสิต-บางปะอิน เป็นต้น และนอกจากกระแสเชิงบวกเรื่อง Backlog แล้ว ผลประกอบการโดยรวมของกลุ่มรับเหมาปี 2566 คาดเติบโตโดดเด่นตามยอดการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้น หลังหมดปัญหาแรงงานขาดแคลนจากการที่ภาครัฐเปิดให้นำเข้าแรงงานต่างด้าว ตั้งแต่เดือน ส.ค ที่ผ่านมา
ฝ่ายวิจัยชอบบริษัทรับเหมาใหญ่พื้นฐานแกร่งอย่าง CK ราคเป้าหมาย 27.00 บาท, STEC ราคาเป้าหมาย 15.50 บาท รวมถึงบริษัทเสาเข็มอย่าง SEAFCO ราคาเป้าหมาย 4.92 บาท และ PYLON ราคาเป้าหมาย 5.60 บาท ส่วนบริษัทรับเหมาขนาดกลางอย่าง NWR แนะนำเพียงเก็งกำไร เพราะงบไตรมาส 4 ปี 2565 มีความเสี่ยงจะพลิกเป็นขาดทุน ราคาเป้าหมาย 0.96 บาท