SAWAD ผงาดเข้า SET50 พื้นฐานแกร่ง ‘สินเชื่อ’ ปี 66 พุ่งแรง
ถือเป็นอีกหนึ่งดีลประวัติศาสตร์หลังผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUEE ประกาศควบรวมกิจการกับบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC
ซึ่งเมื่อวันที่ 3 มี.ค. ได้ฤกษ์ดีที่หุ้นใหม่ ภายใต้ชื่อเดิม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก
การควบรวมระหว่าง TRUEE และ DTAC จะทำให้เก้าอี้ในดัชนี SET50 และ SET100 หายไป 1 ตำแหน่ง จึงต้องเลื่อนหุ้นตัวอื่นขึ้นมาแทน สำหรับตำแหน่งใน SET50 ตกเป็นของ บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ส่วน SET100 หุ้นที่ถูกเลื่อนชั้นขึ้นมา คือ บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD
ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อถูดดึงเข้ามาเทรดในกระดานใหญ่แบบนี้ ยิ่งช่วยเติมเสน่ห์ให้อีกเยอะ โดยเฉพาะในหมู่กองทุนที่มีนโยบายลงทุนล้อไปกับดัชนีหลัก โดยบล.โนมูระ พัฒนสิน ประเมินว่า จะมีเม็ดเงินไหลเข้า SAWAD กว่า 420 ล้านบาท เป็นอีกจิตวิทยาเชิงบวกให้กับราคาหุ้น
ส่วนตัวธุรกิจเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย เศรษฐกิจเริ่มกลับมาคึกคักอีกหลัง สะท้อนจากพอร์ตสินเชื่อที่กลับมาขยายตัวอย่างร้อนแรงในทุกไตรมาสตลอดทั้งปีที่ผ่านมา 14%, 25%, 39% และ 58% ตามลำดับ (ไตรมาส 1-4 ปี 2565)
ขณะที่หนี้เสีย (NPL) ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง จาก 3.4%, 2.8%, 2.6% และ 2.5% หลังมีการคุมเข้มและระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด
ส่วนแนวโน้มธุรกิจปีนี้ยังสดใส โดยบริษัทตั้งเป้าสินเชื่อเติบโตไม่ต่ำกว่า 25% ซึ่งจะเป็นการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ, จำนำที่ดิน, เช่าซื้อมอเตอร์ไซค์ และสินเชื่อส่วนบุคคล
ด้านเพดานดอกเบี้ยใหม่ของ สคบ. ที่เริ่มบังคับใช้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ดูจากผลกระทบแล้วยังค่อนข้างจำกัด ในขณะเดียวกันช่วยทำให้การแข่งขันในตลาดลดลง หลังคู่แข่งหลายรายโดยเฉพาะรายย่อยได้ทยอยออกจากตลาด
บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า มีมุมมองบวกต่อผลการดำเนินงานปี 2566 ของบริษัทที่จะขยายตัวอย่างสดใส โดยบริษัทตั้งเป้าสินเชื่อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 25-30% YoY ขณะที่ NPL ทรงตัวที่ 2.5% โดยจะทำจุดสูงสุดในช่วงครึ่งปีแรกนี้ที่ 2.7% รายได้อื่นๆ จะปรับตัวสูงขึ้นตามการขายประกัน เพื่อชดเชย loan yield สินเชื่อเช่าซื้อที่ลดลง ภายหลังมีการควบคุมตั้งแต่เดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ด้านค่าใช้จ่ายสำรองจะกลับมาบันทึกระดับปกติเหมือนช่วงก่อนการระบาดของโควิด
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 5.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% YoY จากสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น 24% YoY ขณะที่ NIM ลดลงเล็กน้อย จาก loan yield สินเชื่อเช่าซื้อที่ลดลง และต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นตามอุตสาหกรรม รวมทั้งกลับมารับรู้ค่าใช้จ่ายสำรองเป็นปกติ
ราคาหุ้น outperform SET +21% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จากผลการดำเนินงานที่จะดีขึ้น ทั้งสินเชื่อหลักที่จะกลับมาขยายตัว, NPL ที่ยังไม่เร่งตัวเหมือนอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำ “ซื้อ” จากสินเชื่อที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง และสามารถควบคุม NPL ให้ทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยได้ รวมทั้งผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2566 ที่จะขยายตัวดีต่อเนื่อง