โบรก เตือนระวังลงทุนตลาดหุ้น เหตุมีปัจจัยไม่แน่นอนสูง
'หุ้นไทย’วานนี้ พุ่ง 41 จุด แรงหนุนเงินเฟ้อสหรัฐออกมาตามคาด ส่งผลดีบรรยายกาศการลงทุน “นักลงทุนต่างชาติ” กลับมาซื้อสุทธิ 960.90 ล้าน หลังขายต่อเนื่อง 18 วันทำการ โบรก เตือนระวังลงทุน เหตุมีปัจจัยไม่แน่นอนสูง แนะจับตาประชุมเฟดสัปดาห์หน้า เป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดหุ้น
ความเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (15 มี.ค.)พลิกกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงตั้งแต่เปิดการซื้อขาย และระหว่างวันขึ้นทำจุดสุงสุดที่ 1,573.51 จุด เพิ่มขึ้น 49.62 จุด ก่อนมาปิดตลาดที่ 1,565 จุด เพิ่มขึ้น 41.11จุด หรือ 2.70% มูลค่าซื้อขาย 69,703.24 ล้านบาท
ด้านนักลงทุนต่างประเทศพลิกกลับมาซื้อสุทธิ 960.80 ล้านบาท หลังจากขายหุ้นไทยติดต่อกัน18 วันทำการ นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1,557.22 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 538.90 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปในประเทศขายสุทธิ 1,979.13 ล้านบาท
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นไทยวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคที่เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.5% เป็นเพราะ เมื่อวันที่ 14 มี.ค. ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงแรงเกินไปถึง 3% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคที่เฉลี่ยปรับตัวลง1.5% เป็นเพราะมีแรงถูกบังคับขายหุ้น (ฟอร์ซเซล) ออกมาซ้ำเติม ซึ่งจะสะท้อนจากบัญชีหลักทรัพย์ที่ขายสุทธิสูงถึง 2,601.72 ล้านบาท
รวมถึงบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ และตลาดหุ้นในภูมิภาคดีขึ้น จากความคาดหวังสหรัฐจะสามารถคุมสถานการณ์ของสถาบันการเงินได้ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกในประเทศที่สัปดาห์หน้าจะมีการประกาศยุบสภา ทำให้มีความชัดเจนที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 7 พ.ค. 2566
สำหรับแนวโน้มทิศทางตลาดหุ้นจากนี้ คาดว่าจะเคลื่อนไหวลักษณะไซด์เวย์ เพราะสัปดาห์หน้าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะมีการประชุม ซึ่งผลการประชุมจะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดหุ้นไทย เพราะการประชุมรอบนี้จะมีการประกาศตัวเลขคาดการณ์สำคัญหลายตัว เช่น จีดีพี เงินเฟ้อ และคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเจ้าหน้าที่ เฟด (Dot Plot)
ทั้งนี้คาดว่าดัชนีได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วในวันที่ 14 มี.ค. 2566 โดยประเมินแนวรับที่1,540 จุด และแนวรับถัดไปที่ 1,520 จุด ส่วนแนวต้านคาดอยู่ที่ 1,580-1,600 จุด ซึ่งจากที่ไทยเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง จึงแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยที่ฟื้นตัวได้ จากวันก่อนที่ปรับตัวลงแรงเกินไป และจากการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.พ.ของสหรัฐนั้น ทำให้คาดการณ์เฟดยังไม่รีบลดดอกเบี้ย ซึ่งจะยังคงขึ้นดอกเบี้ย ทำให้เม็ดเงินไหลชะลอการไหลเข้าไปในตลาดบอนด์ ทำให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวได้ ประกอบกับแวลูเอชันของตลาดหุ้นไทยน่าสนใจลงทุนจากมีค่าP/E อยู่ที่ 15-17 เท่า
อย่างไรก็ตามต้องติดตามการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดหุ้น และ ระยะกลางตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงที่ถูกลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไปลงทุนในตลาดพันธบัตร ทำให้นักลงทุนต้องระมัดระวังในการลงทุน โดยประเมินแนวรับอยู่ที่ 1,520 จุด แนวต้านที่ระดับ 1,730 จุด
“แม้ตลาดหุ้นฟื้นตัวดี แต่ยังต้องติดตามการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดหุ้น และระยะกลางยังมีความเสี่ยงที่จะมีการลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไปตลาดบอนด์ ทำให้นักลงทุนต้องระมัดระวังการลงทุน”
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส กล่าวว่า การฟื้นตัวของดัชนีหุ้นไทยวานนี้ เพราะวันก่อนหน้าที่ลงแรงเกินไป ทำให้แวลูเอชันของตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจลงทุน และมีอัพไซด์จากเป้าหมายดัชนีปีนี้ที่บล.เอเซียพลัสประเมินไว้ที่1,610 จุด ขณะที่ผลตอบแทนชดเชยความเสี่ยงปรับตัวขึ้นอยู่ที่ 4.52% และผลตอบแทนเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยก็สูงเกิน 3% รวมถึงเงินเฟ้อสหรัฐที่ประกาศออกมาเป็นไปตามคาด ลดแรงกดดันที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยแรง
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยจากนี้คาดว่าจะยังคงผันผวนต่อ เนื่อง จากคาดว่าปัญหาของแบงก์ในสหรัฐจะไม่จบง่ายๆ เพราะ ปัญหาของแบงก์ในสหรัฐ เกิดจาการที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยแรงและเร็ว ทำให้ผู้ประกอบการมีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยเงินกู้ได้น้อยลง แม้ที่ผ่านมากระทรวงการคลังและเฟดได้ออกมาตรการช่วยเหลือออกมาแล้วก็ตาม โดยมองกรอบดัชนีปีนี้อยู่ที่1,520- 1,610 จุด
“การฟื้นตัวของดัชนีวานนี้ เพราะวันก่อนหน้าลงแรงเกินไป และโดนซ้ำเติมจากธุรกรรมบล็อกเทรด สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ฯลฯที่มีแรงขายออกมา”