โบรกชี้'หุ้นโดเมสติก'ขึ้นเด่นสุด 3สัปดาห์แรกเดือนพ.ค. รับศก.โต-เลือกตั้ง
แรงซื้อ “หุ้นกลุ่มโดเมสติก” ดันดัชนีหุ้นไทยพลิกบวกหลังร่วงแรงช่วงเช้า 21 จุด “บล.ทรีนีตี้” ชี้ หุ้นโดเมสติก
สร้างผลตอบแทนมากสุด ช่วง3 สัปดาห์แรกเดือนพ.ค. อานิสงส์เศรษฐกิจไทยโต-เลือกตั้ง ชู “กลุ่มแบงก์ -โรงพยาบาล-ค้าปลีก”เด่น
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (3 พ.ค.)ผันผวนหนัก ซึ่งในช่วงเปิดตลาดซื้อขายปรับตัวลงทันที หลังราคาน้ำมันดิบลงหนักกว่า 5% กังวลเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย จากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และความกังวลภาคธนาคารของสหรัฐ ฉุดดัชนีร่วงหนักสุดถึง 21.21 จุด แตะ1,507.22 จุด ก่อนรีบาวด์และกลับมาปิดบวกได้ 4.87 จุด ที่ 1,533.30 จุด
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทรีนีตี้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยร่วงแรงในช่วงเช้าวานนี้ เป็นไปตามคาด จากความกังวลแบงก์ในสหรัฐที่ล้มเป็นแบงก์ที่ 4 แล้ว และราคาน้ำมันดิิบที่ปรับตัวลงแรงมากกว่า 5% กดดันหุ้นกลุ่มพลังงานลงแรง และส่งผลให้หุ้นกลุ่มอื่นๆปรับตัวลงตามมาด้วยจากแพนิกเซล
ส่วนในช่วงบ่ายดัชนีค่อยรีบาวด์ขึ้นมา แม้หุ้นกลุ่มพลังงานจะกัดดัน เพราะนักลงทุนหายแพนิก และกลับมาซื้อหุ้นที่เติบโตจากเศรษฐกิจในประเทศ (กลุ่ม Domestic Play) ที่ราคาลงแรงเกินไป เช่น กลุ่มไฟแนนซ์ กลุ่มแบงก์ กลุ่มขนส่ง และกลุ่มโรงพยาบาล ฯลฯ เพราะ หุ้นกลุ่ม Domestic Play ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบดังกล่าว
“ในช่วงบ่ายดัชนีหุ้นไทยรีบาวด์และพลิกกลับมาปิดบวกได้ในช่วงท้ายตลาด แม้กลุ่มพลังงานยังคงปรับตัวลง เพราะนักลงทุนหายแพนิกและกลับมาซื้อหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบ และราคาหุ้นลงไปแรง จากหุ้นกลุ่มDomestic Play จากการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศและการเลือกตั้ง ”
ทั้งนี้ส่วนตัวเชื่อว่ากลุ่มDomestic Play จะเป็นกลุ่มที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และสร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วง3สัปดาห์แรกของเดือนพ.ค.นี้ ที่ได้รับผลดีจากการเลือกตั้ง ทำให้นักลงทุนยังสามารถเลือกหุ้นเข้าลงทุนเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นได้
ก่อนขายทำกำไรช่วงปลายเดือนพ.ค. เพราะมีปัจจัยกดดันหลายเรื่องทั้งเรื่องเพดานหนี้ของสหรัฐ การปรับน้ำหนักลงทุนของMSCI ซึ่งคาดว่าจะปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย จากที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมากกว่าตลาดหุ้นอื่น กดดันเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์)ไหลออก และการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
สำหรับหุ้นกลุ่ม Domestic Play ที่บล.ทรีนีตี้ แนะนำเป็นหุ้นกลุ่มบริการ 3 กลุ่ม ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงาน และต้นทุนการผลิตเพิ่ม เพราะสามารถพลักภาระต้นทุนให้ลูกค้าได้ คือ
1.กลุ่มธนาคารพาณิชย์ แนะนำ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) และธนาคารกรุงไทย (KTB),
2.กลุ่มโรงพยาบาล เลือกหุ้นที่มีฐานลูกค้าเป็นต่างชาติ คือ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน)หรือ BH และ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน)หรือ BDMS
3.กลุ่มค้าปลีก คือ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)หรือ BJC ,บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)หรือ CPALL และ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน)หรือMAKRO
นอกจากนี้ยังแนะนำหุ้นที่ลุ้นเข้าคำนวณดัชนีSET50 คือ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)หรือTLI และ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือWHA และกลุ่มหุ้นการเมือง อย่างบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือSC, บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)หรือSIRI และ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน)หรือPR9
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยบ่ายวานนี้ ฟื้นตัวตามทิศทางตลาดหุ้นยุโรปที่กลับมาเคลื่อนไหวแดนบวก ทำให้มีแรงเก็งกำไรผลประกอบการงบบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไตรมาส 1 ปี 2566 และ แรงเก็งกำไรการส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงแรงซื้อคืนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ราคาลงวานนี้
สำหรับหุ้นกลุ่มที่เคลื่อนไหวเด่นช่วงก่อนเลือกตั้งในเชิงสถิติ คือ ไฟแนนซ์ เครื่องดื่ม ค้าปลีก สื่อสาร และขนส่ง หุ้นเด่นของแต่ละกลุ่ม คือ SAWAD, SCAP, OSP, CPALL, MAKRO, BJC, ADVANC, AOT
อย่างไรก็ตาม ในเชิงของกลยุทธ์การลงทุน เรายังให้น้ำหนักเพียงเทรดดิ้งระยะสั้นเป็นรอบๆ และมีจุด Stop Loss ที่ชัดเจน เพราะปัจจัยภายนอกยังกดดัน และภาพทางเทคนิคของดัชนียังอยู่ในทิศทางขาลง