หุ้นกลุ่มแบงก์ดิ่งยกแผง BBL ร่วงนำ กังวลแบงก์ตั้งสำรอง STARK
หุ้นกลุ่มธนาคาร ปิดตลาดช่วงเช้านี้ (28 มิ.ย.66) ร่วงลงยกกลุ่ม โดยเฉพาะหุ้น BBL ปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 158.00 บาท หรือลดลง 3.50 บาท หรือเปลี่ยนแปลงลง 2.17% กังวลธปท. ผ่อนคลายหลักเกณฑ์ “โอนเงินออกนอกประเทศ” และกังวล SCB และ KBANK ตั้งสำรอง STARK พอแล้วหรือไม่
หลังจากที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ออกมาประกาศเดินหน้าผ่อนคลายหลักเกณฑ์ “โอนเงินออกนอกประเทศ” เพื่อให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น โดยเพิ่มจาก 5 หมื่นดอลลาร์เป็น 2 แสนดอลลาร์ ขณะเดียวนักลงทุนรายย่อยลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ จาก 5 ล้านดอลลาร์เป็น 10 ล้านดอลลาร์ โดยไม่ผ่านตัวแทน และอนุญาตบริษัทย่อยในไทยโอนเงินไปให้บริษัทแม่ในต่างประเทศได้ โดยไม่ต้องมายื่นขอเป็นรายกรณีในไตรมาส 3/66 นี้
ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์ ยังมีความกังวลว่า ธนาคารที่มีการปล่อยสินเชื่อให้กับหุ้น STARK อย่าง SCB และ KBANK ตั้งสำรองพอแล้วหรือไม่ และอาจจะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งรัดเข็มขัดในการปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น จึงอาจส่งผลให้งบไตรมาส 2/66 ไม่เป็นไปตามคาด
ส่งผลให้ หุ้นกลุ่มธนาคาร ปิดตลาดช่วงเช้านี้ (28 มิ.ย.66) ร่วงลงยกกลุ่ม โดยเฉพาะหุ้น BBL ปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 158.00 บาท หรือลดลง 3.50 บาท หรือเปลี่ยนแปลงลง 2.17%
กรรณ์ หทัยศรัทธา ผู้ช่วยผู้จัดการ บล.ซีจีเอสซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจว่า หลังจากที่แบงก์ชาติออกมาตรการที่ออกมาวานนี้ (27 มิ.ย.66) ในช่วงบ่าย ซึ่งหุ้นกลุ่มแบงก์ก็ปรับตัวลงมา ทั้งนี้มาตรการดังกล่าว ถือเป็นการสนับสนุนให้เงินทุนในประเทศไหลออกได้ง่ายขึ้น รวมถึง Fund Flow เงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติถือกลุ่มธนาคารค่อนข้างมาก อาจจะส่งผลให้ต่างชาติเทขายออกก่อน
นอกจากนี้ แม้งบในไตรมาส 2/66 ของกลุ่มแบงก์ยังถือว่าไปได้ หลังจากอัตราดอกเบี้ยมีการปรับขึ้นมาจากธปท. อาจจะส่งผลกระทบต่อค่าธรรมเนียม หรือค่าฟีปรับลดลงมาแต่คาดว่าไม่มาก ขณะเดียวกัน กรณีประเด็นหุ้น STARK เริ่มมีการตั้งคำถามว่า SCB และ KBANK ตั้งสำรองพอแล้วหรือยัง และกังวลว่า หากมี STARK ตัวที่ 2 ในกรณีคล้ายกัน หรือเหมือนกัน ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง จึงเริ่มรัดเข็มขัดในการปล่อยสินเชื่อลง ฉะนั้นแล้วในไตรมาส 2/66 อาจจะเริ่มเห็นธนาคารพาณิชย์ออกการตั้งสำรองในรูปแบบต่างๆ ขึ้นมาเพื่อเป็นการรัดเข็มขัด
“แม้ว่า BBL จะปรับตัวลงมาเยอะ แต่ก็ยังชอบอยู่ แต่อยากให้นักลงทุนอย่างเพิ่งเข้าไปซื้อในขณะนี้ ให้รอดูไปก่อนว่า ตรงนี้จะหยุดไหลไปแล้วหรือยัง รอแถวๆ ในกรอบ 1,475 - 1,470 จุด ส่วนราคาหุ้น BBL ขอรอดูปรับลงอีกประมาณ 1 - 5% หรือประมาณ 154 บาท เนื่องจาก BBL ที่น่าเข้าไปลงทุนเพราะเป็นแบงก์ที่มีการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดีสุด”
วิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวลงมาร่วงทั้งกลุ่มสาเหตุอาจเกิดจากนักลงทุนนำไปเชื่อมโยงกับหุ้น STARK จึงทำให้มีจังหวะในการปล่อยออกมาบ้างในบางธนาคารใหญ่ ๆ ซึ่งถือว่าเป็นการกดดันในเชิงเซนติเมิน ส่วนผลประกอบการระยะสั้นไม่ได้แย่ และที่สำคัญหุ้นกลุ่มธนาคารมีการประเมินราคาที่ค่อนข้างต่ำมากพอสมควร อยู่ที่ประมาณ 0.6 -07 เท่า - ของมูลค่าทางบัญชี ซึ่งถือว่า อยู่ในโซนที่ไม่ได้แพงมาก
ขณะเดียวัน แม้หุ้นกลุ่มธนาคารอาจมีสัญญาณปรับตัวลงมาบ้าง แต่ในทางโมเมตัมผลประกอบการในไตรมาส 2/66 ยังถือว่าดี ทั้งฝั่งของสินเชื่อโต ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย หรือการตั้งสำรองที่ยังไม่ได้สูงมากเนื่องจากตั้งไปก่อนหน้านี้แล้วค่อนข้างมาก
ส่วนประเด็นเรื่อง ธปท.ออกเกณฑ์การโยนเงินออกนอกประเทศ ส่วนตัวคิดว่า ไม่ใช่ประเด็นสำคัญในการกดหุ้นกลุ่มธนาคารวันนี้ (28 มิ.ย.66) ถือว่าไม่ใช่จุดสำคัญ เนื่องจากที่ผ่านมากลุ่มธนาคารแข็งแกร่งกว่าตลาด และถือเป็นเซกเตอร์ใหญ่เซกเตอร์เดียวที่ยังสามารถยืนได้ ในขณะที่หุ้นกลุ่มอื่น ๆ ปรับตัวร่วงลงไปอย่าง กลุ่มพลังงานกลุ่มสื่อสาร ค้าปลีก จนไม่สามารถเหลือหุ้นกลุ่มไหนที่จะช่วยเหลือตลาดได้แล้ว และกลุ่มแบงก์เป็นกลุ่มสุดท้ายที่ปรับร่วงลงมา
ทั้งนี้แนะนำนักลงทุนว่า ตลาดหุ้นยังคงได้รับผลกระทบต่อปัจจัยในประเทศ โดยตลาดหุ้นค่อนข้างอ่อนแอ เมื่อเทียบกับตลาดโลกไม่ได้มีการปรับตัวลงมามากถึงขนาดนี้ แม้ว่าจะตลาดโลกจะมีการปรับตัวลงมาเล่นกับตัวเลขเศรษฐกิจบ้าง แต่ก็ยังสามารถปรับตัวขึ้นไปได้ ขณะที่ตลาดหุ้นบ้านเราเลือกที่จะลงอย่างเดียวมีรีบาวน์ปรับขึ้นมาได้บ้างตามเทคนิคคอลและโดนทิ้งลงมาอย่างชัดเจน ฉะนั้นแล้วนักลงทุนยังคงต้องระมัดระวังการลงทุน เนื่องจากในประเทศยังคงมีปัญหาทางการเมืองที่มีความร้อนแรงเพิ่มมากขึ้น
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์