วัดใจผู้ถือหุ้นใหญ่เพิ่มทุน STARK โบรกฟันธง เสี่ยงล้มละลาย-หาพันธมิตรลงขันยาก
โบรก ประสานเสียง STARKโอกาสเพิ่มทุนสำเร็จน้อย ขึ้นอยู่กับผู้ถือหุ้นใหญ่ ทุ่มเงินเพิ่มทุนหรือไม่ เชื่อสุดท้ายต้องฟื้นฟู-ล้มละลาย เหตุ หนี้สินสูงกว่าสินทรัพย์ ด้าน "สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุน"เตรียมเชิญผู้เสียหายเข้าฟังกระบวนการฟ้องหมู่ ด้านที่ปรึกษาฯ คาดยื่นฟ้องได้ภายในก.ค.นี้ “วนรัชต์” ระบุ บอร์ดตั้งใจ-เร่งแก้ไขปัญหา
บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ STARK แจ้งแนวทางดำเนินการแก้ไขเหตุเพิกถอนหุ้น หลังจากที่ส่วนผู้ถือหุ้นติดลบ 4,404 ล้านบาท โดยระบุว่า อยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทาง คือ
1. เจรจากับเจ้าหนี้ที่สำคัญทั้งหมด เพื่อให้เจ้าหนี้ต่าง ๆ ระงับการใช้สิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้โดยพลันสนับสนุนแผนการปรับโครงสร้างทุนและโครงสร้างหนี้ของบริษัท รวมถึงให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อวางแผนการบริหารการชำระหนี้ และวางแผนธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
2. จำหน่ายทรัพย์สิน (เช่น หุ้นในบริษัทย่อยที่ไม่ได้ดำเนินธุรกิจหลักของบริษัท สิทธิเรียกร้องในสัญญาที่สำคัญ) และปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณธุรกิจ เพื่อเพิ่มรายได้และลดต้นทุนคงที่ (fixed cost) และค่าใช้จ่ายของบริษัท
3. เพิ่มทุนจดทะเบียนเพื่อจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในปัจจุบัน หรือพิจารณาหานักลงทุนรายใหม่ เพื่อเพิ่มส่วนของผู้ถือหุ้นและเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท
4. ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายเพื่อดำเนินการฟื้นฟูกิจการเพื่อปรับโครงสร้างทุนและโครงสร้างหนี้ของบริษัท รวมถึงให้สิทธิการแปลงหนี้เป็นทุนแก่เจ้าหนี้ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ
ทั้งนี้ STARKจะแจ้งแนวทางดำเนินการแก้ไขเหตุเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียน และกำหนดเวลาของการดำเนินการดังกล่าวแก่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนภายในวันที่ 19 ก.ค.2566
สุดท้ายต้องล้มละลาย
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า การที่ STARK มีส่วนผู้ถือหุ้นติดลบสูง และขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการทำสเปเชียล ออดิท ซึ่งหากมีการตรวจสอบบัญชีเสร็จ คาดอาจจะเห็นตัวเลขที่ผิดปกติงบการเงินเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ คาดว่าสุดท้ายแล้ว STARK จะต้องล้มละลาย เพราะ มีหนี้จำนวนมาก และหากSTARK จะเพิ่มทุนนั้น ก็จะต้องเพิ่มทุน ระดับ 4,000 -5,000 ล้านบาท เพราะส่วนผู้ถือหุ้นติดลบ 4,404 ล้านบาท ซึ่งโอกาสเพิ่มทุนสำเร็จก็มี แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ถือหุ้นใหญ่จะยอมใส่เงินเพิ่มทุนหรือไม่ หรือ ผู้ถือหุ้นใหญ่จะมีเงินสดเพียงพอไหมในการใส่เงินเพิ่มทุน ขณะที่โอกาสการหาพันธมิตรใหม่เข้ามาเพิ่มทุนนั้นก็ยาก จากปัญหาของSTARKที่เกิดขึ้น
ส่วนกรณีที่มีนักลงทุนยังเข้ามาส่งคำสั่งซื้อหุ้นSTARKอยู่นั้น มองว่าเป็นการเข้ามาเก็งกำไร เพราะใช้เงินซื้อหุ้นไม่มาก และมองว่าหากซื้อได้ที่ราคา 0.01 บาทนั้นก็จะมีความได้เปรียบ ซึ่งหากราคาปรับขึ้นช่องเดียว ก็จะได้กำไรประมาณ 30-50%
โอกาสเพิ่มทุนสำเร็จน้อยมาก
แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์ กล่าวว่า กรณีSTARK เชื่อว่าจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายเพื่อดำเนินการฟื้นฟูกิจการเพื่อปรับโครงสร้างทุนและโครงสร้างหนี้ เนื่องจากโอกาสที่จะเพิ่มทุนสำเร็จนั้นมีน้อยมาก จากที่STARK มีส่วนผู้ถือหุ้นติดลบกว่า 4,000 ล้านบาท ทำให้จะต้องเพิ่มทุนมากกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งเกิดคำถามว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะมีเงินเพียงพอในการเพิ่มทุนครั้งนี้หรือไม่ และส่วนผู้ถือหุ้นรายใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่มทุนก็ยาก เพราะ ปัจจุบันมีหนี้จำนวนมากและอาจจะมีหนี้โผล่เข้ามาอีกได้
ส่วนกรณีที่ยังมีนักลงทุนเข้ามาซื้อขายหุ้นSTARK อยู่นั้น ซึ่งราคาหุ้นเคลื่อนไหวที่ 0.01-0.03 บาทต่อหุ้น โดยใช้เงินไม่มากในการซื้อ อย่างหากซื้อหุ้นจำนวน 1,000 ล้านหุ้น หากซื้อได้ที่ 0.01 บาทต่อหุ้น ก็ใช้เงินเพียง 10 ล้านบาทเท่านั้น จึงอาจทำให้มีนักลงทุนเข้าเก็งกำไรระยะสั้น หรือบางรายอาจจะเข้ามาซื้อถือเพื่อคาดหวังอนาคต STARKจะสามารถแก้ไขเหตุการเพิกถอนได้ และกลับมาซื้อขายหุ้นได้ แม้ต้องใช้เวลานานในการแก้ไขปัญหา เพราะหากหุ้นกลับมาซื้อขายในตลาดหุ้นได้ เชื่อว่าราคาก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้สูงกว่าราคาที่ซื้อมาก หรือหากไม่สามารถกลับมาได้ยอมสูญเงินที่ซื้อไปได้
“แนวทางแก้ไขของ STARK ที่แจงมานั้นก็เป็นแผนปกติที่ทำกัน ซึ่งสุดท้ายเชื่อว่า STARK จะต้องเข้าแผนฟื้นฟูกิจการ เพราะปัจจุบันมีหนี้จำนวนมาก ทำให้ทรัพย์สินที่มีไม่เพียงพอในการจ่ายหนี้ และโอกาสเพิ่มทุนสำเร็จก็มีน้อยมาก เพราะใครจะกล้าเอาเงินมาใส่ และผู้ถือหุ้นใหญ่จะใส่เงินเพิ่มทุนหรือไม่ หรือผู้ถือหุ้นใหญ่จะมีเงินเพียงพอไหม ”
กลต.เร่งตรวจสอบ STARK
นายธวัชชัย พิทยโสภณ รองเลขาธิการ รักษาการเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต.อยู่ระหว่างเร่งการตรวจสอบ STARK ซึ่งหาก STARK มีการยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายเพื่อฟื้นฟูกิจการนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการตรวจสอบและการบังคับใช้กฎหมายของ ก.ล.ต. เพราะตามหลักการแล้วก็จะดำเนินการแยกกัน
นายยิ่ง ยงนิลเสนา นายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย(TIA) กล่าวว่า ทางสมาคมฯอยู่ระหว่างการเชิญผู้ที่ได้รับความเสียหายจากSTARK ที่ได้ลงชื่อไว้เข้ามาฟังเรื่องการดำเนินคดีแบบกลุ่ม (Class Action) เพื่อที่จะได้ทราบแนวทางการดำเนินการต่อไป ส่วนการดำเนินการฟ้องนั้นเป็นเรื่องที่ทางผู้เสียหายต้องดำเนินการ เพราะในส่วนของบทบาทของสมาคมฯนั้นจะเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ถือหุ้น
นายณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ประธาน บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุนต้นธารคอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า คาดผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ได้รับความเสียหายจากSTARKจะยื่นฟ้องClass Actionได้ภายในเดือนก.ค. ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตั้งทนาย หลังจากที่มีการคุยกับทางทนายมาแล้ว 3 ครั้ง
‘วนรัชต์’ยันตั้งใจแก้ไขปัญหา
นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ กรรมการ STARK ระบุว่า บริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจ และจะดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ไขเหตุเพิกถอนดังกล่าว บริษัทมีความตั้งใจที่จะปรับโครงสร้างทุนและโครงสร้างหนี้ ทั้งของบริษัทและบริษัทย่อย ซึ่งดำเนินธุรกิจหลัก เพื่อทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทมีค่ามากกว่าศูนย์ และมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานตามปกติของบริษัทย่อยซึ่งดำเนินธุรกิจหลัก
โดยคณะกรรมการและผู้บริหารชุดปัจจุบันของบริษัทมีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะแก้ไขเหตุดังกล่าวเพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ภายใต้กรอบของกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และบริษัทจะแจ้งให้ทราบถึงแนวทางดำเนินการแก้ไขเหตุเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียน และกำหนดเวลาของการดำเนินการดังกล่าวแก่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนภายในวันที่ 19 ก.ค. 2566