หุ้นบิ๊กก่อสร้าง CK-STEC-ITD ส่งสัญญาณรับรัฐบาลใหม่
หุ้นที่ผูกติด และส่งสัญญาณการเมืองได้ดีที่สุดไม่พ้นธุรกิจที่มีชื่อหรือครอบครัว เข้าถือหุ้นหรือบริหาร ทำให้เมื่อราคาหุ้นมีการปรับตัวช่วงการเมืองกำลังเปลี่ยนแปลงเป็นการส่งสัญญาณเชื่อมโยงไม่ยาก และหุ้นอีกกลุ่มที่อิงกับการเมืองเช่นกัน คือ “หุ้นกลุ่มก่อสร้าง”
ถือว่าเป็นทุกยุค ทุกรัฐบาลใหม่ที่มักจะถูกโยงไปกับการเก็งงานภาครัฐที่จะออกมา ยิ่งหากหน้าตารัฐบาลมีส่วนผสมของพรรคเดิมที่เคยนั่งกระทรวงสำคัญ ทำให้หุ้นกลุ่มนี้ยิ่งตอบรับ และส่งสัญญาณแรงตามไปด้วย
ปัจจุบันทิศทางการเมืองของไทยยังต้องรอลุ้น 2 ประเด็นในต้นเดือนส.ค. 2566 ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญจะรับหรือไม่รับคําร้องประเด็นการเสนอชื่อ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีซํ้าผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งการพิจารณาส่วนใหญ่จะ 7 วัน ตรงกับวันที่ 3 ส.ค.2566
ถัดมาการประกาศ “กลับบ้าน” “กลับประเทศไทย” ของอดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร ” ด้วยการระบุวันที่ 10 ส.ค. 2566 ที่สนามบินดอนเมือง ท่ามกลางแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ถูกส่งไม้ต่อจาก “พรรคก้าวไกล” ที่ยอมถอยให้กับ “พรรคเพื่อไทย “ จนทำให้เกิดกระแสข่าวว่ามีซูเปอร์ดีลที่ฮ่องกง เพื่อพา “คนแดนไกลกลับบ้าน”
หากเป็นไปตามที่มีกระแสดังกล่าวโฉมหน้ารัฐบาลที่จะถูกจัดตั้งขึ้นมาใหม่ย่อมต้องมีรายชื่อของอดีตพรรคซีกรัฐบาลเดิมเข้ามาร่วมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อให้ได้คะแนนเสียง และฐานเสียงจากการโหวตนายกฯ ของสว. ในรอบที่ 3
ดังนั้นงานที่ค้างท่อของรัฐบาลชุดก่อน และเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องอาศัยโปรไฟล์ “บิ๊ก 3 ก่อสร้าง” เข้ามารับงาน ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ,บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC
ช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 3 รายรายงานกำไรเพิ่มทุกบริษัท CK มีกำไร 234 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน มีรายได้จากสัญญาณก่อสร้าง 9,425 ล้านบาท
ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างขุดคลองระบายน้ำหลากพร้อมอาคาร บางบาล-บางไทร ,โครงการก่อสร้างทาง รถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ สัญญาที่ 2 ช่วงงาว-เชียงราย ,สัญญาที่ 3 ช่วง เชียงราย-เชียงของ ,โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (สายสีม่วง ใต้) และสัญญาก่อสร้างโครการโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง
ด้าน STEC มีกำไร 170 ล้านบาท ลดลง 26.40% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งมีรายได้จากสัญญาก่อสร้าง 6,422 ล้านบาท ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บียอนด์ มีงานในมือ (Backlog) สูงประมาณ 1.1แสนล้านบาท เพียงพอรับรู้รายได้ราว 3.8 ปี
ขณะเดียวกันบริษัทมีเงินสดในมือสูงประมาณ5.2 พันล้านบาท มีฐานะการเงินแข็งแกร่งโดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิ(Net D/E) -0.3 เท่า ทำให้มีความพร้อมเข้าประมูลงานโครงการก่อสร้างใหม่ๆ เหนือคู่แข่ง ตรงกันข้ามจะได้รับผลกระทบต้นทุนวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้น และการปรับค่าแรงขั้นต่ำมากที่สุดจากงานในมือจำนวนมากกว่า 1.1 แสนล้านบาท
ITD มีกำไร 309 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนช่วงเดียวกันปีก่อน 757 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้จากการขายและให้บริการ จำนวน 1,794 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนเป็นจำนวน 338 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลดลงของรายได้จากการให้บริการโครงการเหมืองแร่
อย่างไรก็ตาม โครงการขนาดใหญ่ที่ยังรอลุ้นในเช็นสัญญาก่อสร้างยังมีมูลค่ามหาศาล ทั้ง โครงการท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 มูลค่า 84,364 ล้าน
โครงการพัฒนาสนาบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 3 แสนล้านบาท มีบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ,บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS และ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC
โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) มูลค่า 2.2 แสนล้านบาท ผู้ชนะกลุ่ม CP ที่ผ่านการต่อรองเงื่อนไขสัญญากินเวลานานถึง 5 เดือน
และยังมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก(ศูนย์วัฒนธรรม – บางขุนนนท์ ) วงเงิน 1.2 แสนล้านบาทแล้ว ที่ผ่านการประมูล และล้มการประมูล จนสุดท้ายตกเป็นของ บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM และ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) และยังอยู่การพิจารณาของศาลปกครองกลาง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์