ผู้ถือหุ้นกู้ALL ตั้งกรุงศรีฯ เดินหน้าฟ้องร้อง-บังคับคดี
วานนี้ (2 ส.ค.) ที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ “ออลล์” มีมติอนุมัติให้ “ธนาคารกรุงศรีฯ” ฐานะผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ดำเนินการฟ้องร้อง-บังคับคดีแทนตามกฎหมายต่อไป ตลท. เตือนนักลงทุนระวังซื้อขาย “บล.ยูโอบี เคย์เฮียนฯ” แนะหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน
รายงานข่าวจาก สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย หรือ ThaiBMA กล่าวว่า วานนี้ (2 ส.ค.) ที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ของ บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL ได้มีมติอนุมัติวาระที่ 2 พิจารณามอบหมายให้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้และ/หรือ มอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ของผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้เป็น ตัวแทนผู้ถือหุ้นกู้ ดำเนินการฟ้องร้องและบังคับคดี รวมถึงดำเนินการอื่นใดตามกฎหมายแก่ผู้ออกหุ้นกู้ และวาระที่ 3 พิจารณาแต่งตั้งและว่าจ้างทนายความให้มีอำนาจดำเนินการฟ้องร้องคดีและบังคับคดี รวมถึงดำเนินการอื่นใด ตามกฎหมายกับบริษัทในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ตลอดทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง
สำหรับกระบวนหลังจากนี้ ธนาคารกรุงศรีฯ ในฐานะผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จะดำเนินการฟ้องร้อง และเห็นว่า จะยื่นฟ้อง 2 รอบ หุ้นกู้มีประกัน และไม่มีประกันฟ้องแยกกัน โดยยื่นฟ้องไม่มีประกันก่อน และตามด้วยมีประกัน ส่วนระยะเวลาที่แน่ชัดเมื่อไหร่นั้นเหมือนยังไม่ได้แจ้ง ชัดๆว่าวันไหนเหมือนไม่ได้แจ้ง
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 ALL ได้แจ้งผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ของ ALL เนื่องจากการผิดนัดในมูลหนี้รวมเกินเกณฑ์ตามข้อกำหนดสิทธิและหน้าที่ของผู้ออกหุ้นกู้และผู้ถือหุ้นกู้ (Cross Default) ทั้งนี้ บริษัทผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ทั้งหมด (7 รุ่น) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,416 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินต้นคงค้าง 2,334 ล้านบาท และดอกเบี้ยที่ค้างชำระจนถึงวันที่ผิดนัด 82 ล้านบาท
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) มองว่าสถานการณ์การประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ALL ไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงจากภาพใหญ่ ๆ ของ ALL ได้ ดังนั้น จึงแนะนำนักลงทุนว่า ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้น ALL แต่ถ้าเข้าไปลงทุนแล้วก็ต้องทำใจว่า ความเสียหายจากการลงทุนที่คาดว่าจะเป็นการถาวรและไม่สามารถที่จะกลับคืนมาได้ง่าย ๆ
ทั้งนี้ หากดูจำนวนเงินทั้งหมดต้องยอมรับว่า เป็นจำนวนที่ค่อนข้างสูง 2,416 ล้านบาท แยกเป็นเงินต้น 2,334 ล้านบาท และที่เหลือเป็นดอกเบี้ย ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวค่อนข้างเหนื่อยพอสมควรสำหรับ ALL หากไปดูงบการเงินของบริษัทจะเห็นว่า มีสินทรัพย์ไม่ได้เยอะมาก เหลือแค่สินค้าคงเหลือ ซึ่งเป็นพวกที่ดินที่รอระหว่างการพัฒนา ประมาณ 2,600 ล้านบาท เงินมัดจำ 1,436 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สินค้าคงเหลือที่เป็นประเภทที่ดิน หรือโครงการรอการพัฒนาต่อให้แปลงเป็นเงินสดในสภาวะที่มีความรีบเร่ง ไม่สามารถที่แปลงเป็นราคา 1,436 ล้านบาทได้ทันที
ขณะเดียวกันด้านหนี้สินก็ยังเหนื่อยอยู่เช่นกัน เนื่องจากมีเงินกู้ยืมระยะสั้นประมาณ 1,152 ล้านบาท ส่วนหนี้สินระยะยาวประมาณ 2,878 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งหุ้นกู้และสถาบันการเงินและเริ่มมีการผิดนัดชำระหนี้แล้วในบางแห่ง ถ้ามองคร่าว ๆ หนี้สินรวมแล้วประมาณเกือบ 4,000 ล้านบาท หากเทียบกับการขายที่ดินทั้งหมดและโครงการจะได้เงินแค่เพียง 2,600 ล้านบาท หากรวมกับสินทรัพย์อย่างอื่นพอเหลืออยู่บ้าง