SGC ผลงานไตรมาส 2/66 ทรุด ขาดทุน 1.91 พันล้าน เหตุค่าใช้จ่ายเพิ่ม-หนี้สูญ
SGC ผลงานไตรมาส 2/66 ทรุด ขาดทุนสุทธิ 1,919 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 2,070 ล้านบาท หรือร้อยละ 1,367.45 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่วนรอบ 6 เดือนปี 66 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 2,287 ล้านบาท เหตุค่าใช้จ่ายเพิ่ม-หนี้สูญ
นายอโณทยั ศรีเตียเพ็ชร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจีแคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 ขาดทุนสุทธิ 1,919 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 2,070 ล้านบาท หรือร้อยละ 1,367.45 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่วนรอบ 6 เดือนปี 2566 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 2,287 ล้านบาท ลดลง 2,594 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 845.14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการให้บริการและบริหารไตรมาส 2/2566 รวม 188 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.52 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และสำหรับรอบ 6 เดือนปี 2566 บริษัทมีค่าใช้จ่ายขายและบริหารรวม 365 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.63 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 2 และรอบ 6 เดือนที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากค่าเผื่อผลขาดทุนจากสินทรัพย์รอการขาย ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนนิงานต่อรายได้จากการดำเนินงาน (Cost to Income : C/I Ratio) ของไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ระดับร้อยละ 34.11 และสำหรับรอบ 6 เดือนปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 30.15 ซึ่งหากไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินรอการขาย ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานโดยรวมยังอยู่ในระดับที่บริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สำหรับรอบ 6 เดือนปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 26.86 ปรับลดลงจากร้อยละ 28.96 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ บริษัทมีผลขาดทุนทางด้านเครดิตได้ไตรมาส 2/66 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 2,616 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,561 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4,675.69 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเป็นผลมาจากการตัดหนี้สูญกลุ่มลูกหนี้ด้อยคุณภาพของสัญญาเช่าซื้อที่บริษัทได้ติดตามทวงถามและพิจารณาแล้วว่าลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้เป็นจำนวนเงินของลูกหนี้สุทธิหลังผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดวาจะเกิดขึ้น 917 ล้านบาท และบริษัทได้บันทึกค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มเติม เพื่อให้เพียงพอและเหมาะสมต่อความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดจากลูกหนี้ที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตและลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต โดยเป็นผลจากการสิ้นสุดของโครงการให้ความช่วยเหลือจากผลกระทบของโรคติดเชื้อไวรสัโคโรนา 2019
ส่วนสินทรัพย์รวมณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 บริษัทมีสินทรัพย์รวมเท่ากับ 13,519 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 23.98 จากสิ้นปี 2565 โดยหลักมาจากการจ่ายชําระเงินกู้คืนบริษัทใหญ่ การจ่ยเงินปันผลและการลดลงของพอร์ต ลูกหนี้สินเชื่อตามสัญญาเช่าซื้อและลูกหนี้เงินให้กู้ยืมจากการที่บริษัททำการตัดจำหน่ายหนี้สูญกลุ่มลูกหนี้ด้อยคุณภาพและตั้งประมาณการค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มเติ่มตามที่ได้อธิบายในหัวข้อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและการตัดจำหน่ายหนี้ด้อยคุณภาพข้างต้น นอกจากนี้บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเงินสด 730 ล้านบาท และพอร์ตลูกหนี้สินเชื่อตามสัญญาเช่าซื้อและลูกหนี้เงินให้กู้ยืมสุทธิ 11,794 ล้านบาท
ขณะที่ผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 และวันที่ 31 ธันวาคม 2565 อยู่ที่ 3,105 ล้านบาท และ 5,751 ล้านบาท ตามลำดับ ลดลง 2,647 ล้านบาท หรือร้อยละ 46.02 โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลการดำเนินงานที่ลดลง