โบรก ชี้‘หุ้นไทย’จ่อแตะ 1,500 จุด เหตุ นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น-รอผลประชุมเฟด
“ภากร” ชี้ หุ้นไทยไซด์เวย์ เหตุปัจจัยทั้งในประเทศ-ต่างประเทศกดดัน ด้าน“บล.เอเซีย พลัส” ชี้ ดัชนีหลุดแนวรับสำคัญ 1,530 จุด ส่งผลขาดความเชื่อลงทุน มองแนวรับถัดไป 1,500 จุด ด้านบล.กสิกรไทย เผย นักลงทุนชะลอลงทุนรอผลประชุมเฟด แนะยังเทรดดิ้งได้
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ในช่วงนี้ภาวะตลาดหุ้นไทยยังเคลื่อนไหวไซด์เวย์ เป็นผลจากปัจจัยภายในและนอกประเทศ โดยปัจจัยในประเทศ คือ เศรษฐกิจไทยหลังโควิดยังฟื้นตัวแบบ K-Shaped มีบางอุตสาหกรรมฟื้นตัวดี และบางอุตสาหกรรมยังไม่ฟื้นตัว
รวมถึงนโยบายรัฐบาลที่จะออกมารอบนี้ มีทั้งเป็นผลดีกับบางอุตสาหกรรม เช่น ท่องเที่ยว ส่งออก และเป็นผลเสียกับบางอุตสาหกรรม เช่น พลังงาน ส่วนปัจจัยกดดันต่างประเทศ เช่น หากเศรษฐกิจจีนเกิดปัญหาจะส่งผลกระทบไปทั่วโลก รวมถึงการค้า และการท่องเที่ยวของประเทศไทยด้วย นับเป็นความผันผวนใหม่ ซึ่งจะต้องติดตาม นอกจากปัญหาความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายดอกเบี้ยของเฟด ยังสร้างความผันผวนต่อหุ้นไทย
ทั้งนี้หากมองจุดขายของตลาดหุ้นไทยที่แตกต่างตลาดอื่น คือ ยังมีอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง อย่างธุรกิจเกี่ยวกับ Well Being เช่น อาหาร เฮลธ์แคร์ ท่องท่องเที่ยว ทางด้านความยั่งยืน (ESG) และศูนย์กลางการเชื่อมโนในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นจุดดึงดูดเงินลงทุน
อย่างไรก็ตามการลงทุนหุ้นไทย ต้องเลือกเป็นรายกลุ่ม และ เป็นรายบริษัทที่ผลประกอบการฟื้นตัว เพราะแต่ละกลุ่มฟื้นตัวไม่เท่ากัน ดังนั้นหากมองในภาพรวม จึึงดูไม่ค่อยดีนัก
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซีย พลัส กล่าวว่า "ดัชนีหุ้นไทย"ปรับตัวลงโดยในช่วงเช้าปรับตัวลงตามตลาดหุ้นภูมิภาค เพราะความกังวลกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์มีสัญญาณคำสั่งซื้อสินค้าลดลง และในช่วงบ่ายมีข่าวลบเรื่องรัฐบาลลดค่าไฟ อีก 0.11 บาท อยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย ทำให้ดัชนีหุ้นไทยหลุดแนวรับสำคัญรอบนี้ที่ 1,530 จุด
ดังนั้น ทำให้เป็นเซ็นทิเมนท์เชิงลบ โดยมองแนวรับถัดไปที่ 1,500 จุด เพราะ นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นลงทุน และตีความปัจจัยที่เข้ามาในเชิงลบ แม้ก่อนหน้านี้ที่มองเป็นปัจจัยบวก
“ จริงๆแล้วตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยบวก ทั้งจีดีพีของไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง , กำไรบจ.ครึ่งปีหลังโตกว่าครึ่งปีแรก ,กนง.น่าจะคงดอกเบี้ย และนายกฯบอกจะไม่เก็บภาษีขายหุ้น แต่เมื่อตลาดเสียศูยน์ การตีความของตลาดก็จะไปในเชิงลบมากกว่า และนักลงทุนที่ดูเทคนิค เมื่อเห็นดัชนีหลุด 1,530 จุด ก็ใจคอไม่ดี จึงลดความเสี่ยงออกไปก่อน”
ทั้งนี้ หากดูในเชิงปัจจัยพื้นฐานเมื่อดัชนีปรับตัวลงมามากแล้ว และระยะข้างหน้ายังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระทบในเชิงพื้นฐานของหุ้นนั้น กลยุทธ์ที่ควรทำคือการทยอยซื้อสะสม แต่ไม่ควรที่จะเป็นลักษณะการไล่ราคา โดยหุ้นแนะนำมี3 ธีม คือหุ้นที่ประโยชน์จากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว ,หุ้นได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ เช่น ท่องเที่ยว ค้าปลีก ไอซีที และหุ้นที่เคลื่อนไหวตามราคาน้ำมัน
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ มีแรงขายค่อยข้างมาก มาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ความกังวลจากเรื่องการลดค่าไฟเหลืออยู่ที่ 3.99 บาท มากกว่าที่คาดการณ์ไว้จากเดิมที่คาด 4.10 บาท ซึ่งกดดันหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวลงมา ซึ่งฝ่ายวิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ค่าFT ที่ลดลงทุก 0.10 บาท นั้นมีผลกระทบต่อBGRIM และGPSC 8-9%
นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อหุ้นปตท.(PTT)ให้ลงด้วย เพราะ นักลงทุนกังวลว่าภาครัฐฯจะให้ปตท.ทำหน้าที่เสมือนกองทุน โดยตรึงราคาก๊าซธรรมชาติไว้ที่ 305 บาทต่อล้านบีทียู เพื่อที่จะลดค่าไฟฟ้าได้ อย่างไรก็ตามต้องติดตามว่าภาครัฐจะมีมาตรการเข้ามาอุดหนุนประเด็นดังกล่าวอย่างไรบ้าง
ส่วนอีกประเด็นที่กดดัน คือบริษัทชิปขนาดใหญ่ของโลกTSMC ได้แจ้งว่า ยอดคำสั่งซื้อในอนาคตจะลดลง เพราะ คำสั่งชะลอตัวลง ส่งผลให้หุ้นกลุ่ม กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวลงแรง ทั้ง DELTA ,HANA ,KEC ปรับตัวลดลง
“ วานนี้หุ้นลงแรง แต่ไม่มีแรงเคาะซื้อ เพราะ นักลงทุนชะลอลงทุน เพื่อรอดูผลประชุมFOMC ในสัปดาห์นี้ ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย หรือคงดอกเบี้ย อย่างไรก็ตามดัชนีหุ้นไทยหลุดแนวรับสำคัญที่เรามองไว้ที่ 1,555 จุด อย่างต่อเนื่อง แต่ยังมองว่านักลงทุนสามารถเทรดดิ้งได้ แต่ไม่ควรที่จะเพิ่มเม็ดเงินลงทุนใหม่ แต่จะเป็นลักษณะ การขายหุ้นที่ได้กำไร แล้วโยกไปลงทุนหุ้นตัวอื่น ตราบใดที่ดัชนีไม่สูงกว่า 1,555 จุด