TRUE จ่อขายหุ้นกู้ชุดใหม่ 2.5 หมื่นล้าน หวังนำเงิน‘คืนหนี้- เป็นทุนหมุนเวียน'
“ทริส”จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ของTRUE มูลค่า 2.5 หมื่นล้าน ระดับA+ เตรียมออกเสนอขาย หลังจากต้นปีถึงปัจจุบันเสนอขายแล้วรวมไม่เกิน 3.2 หมื่นล้าน บล.กสิกรไทย ชี้ เป็นเรื่องปกติที่ต้องออกขายปีละ 5 หมื่นล้านจนกว่าจะพลิกมีกำไร เหตุ มีหนี้หุ้นกู้ -เงินกู้รวม 2 แสนล้าน ที่ต้องทยอยจ่ายคืน
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUEที่ระดับ “A+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2.5 หมื่นล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 10 ปีของบริษัทที่ระดับ “A+” ด้วย โดยTRUEจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ดังกล่าวไปใช้ชำระหนี้เงินกู้และ/หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียน
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำทางการตลาดของบริษัทในธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในประเทศไทย ตลอดจนความแข็งแกร่งของโครงข่ายในการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และยังสะท้อนถึงประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการผสานพลังทางธุรกิจภายหลังจากการควบรวมกิจการรวมถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทที่น่าจะปรับตัวดีขึ้นในอนาคตอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนบางส่วนจากการแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม รวมทั้งจากภาระหนี้ทางการเงินที่สูงของบริษัท และความเสี่ยงจากการบูรณาการทางธุรกิจหลังการควบรวม
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 8.2-9.8 หมื่นล้านบาทต่อปี ในช่วงระหว่างปี 2566-2568 และคาดว่าเงินทุนจากการดําเนินงานจะอยู่ในช่วง 5.8-7.2 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน และคาดว่าเงินลงทุนของบริษัทจะค่อยๆ ลดลงในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยจะอยู่ในช่วง 3.4-4.3 หมื่นล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ บริษัทยังมีภาระที่จะต้องชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตอีกประมาณปีละ 1.5-2.3 หมื่นล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกันอีกด้ว
ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงประมาณการว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 5.3-6.4 เท่าในช่วงระหว่างปี 2566-2568
นายพิสุทธิ์ งามวิจิตวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย กล่าวว่า TRUE มีหนี้หุ้นกู้ และหนี้เงินกู้กับธนาคารพาณิชย์ รวม 2 แสนล้านบาท อายุเฉลี่ย คือ 4 ปี ทำให้ต้องออกหุ้นกู้ปีละ 5 หมื่นล้านบาท เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนด (โรลโอเวอร์)และจากที่TRUE มีผลขาดทุน ทำให้รายได้ไม่พอกับเงินที่ต้องจ่ายออกไป ทำให้ต้องกู้เพิ่มอาจเห็นมีการออกหุ้นกู้ได้สูงถึง 7-8 หมื่นล้านบาทต่อปี
ดังนั้นก็จะเห็นว่าTRUE มีการออกหุ้นกู้แต่ละปีประมาณ 5 หมื่นล้านบาท จนกว่าจะพลิกมีกำไร เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนซึ่งทางผู้บริหารคาดการณ์ว่าจะเริ่มปีกำไรในปี 2568 หลังจากนั้นTRUE ก็จะออกหุ้นกู้มูลค่าที่น้อยลงจากเดิม
“ เป็นปกติที่จะเห็นTRUE ออกหุ้นกู้ปีละ 5 หมื่นล้านบาท เรื่อยๆจนกว่าจะมีกำไร เพราะ เขามีหนี้หุ้นกู้และหนี้กู้แบงก์ รวม2 แสนล้านบาท และยังมีผลขาดทุน จากมีรายได้ไม่พอรายจ่าย จึงจำเป็นต้องกู้เงินเข้ามาเพิ่มซึ่งไม่เกี่ยวกับดอกเบี้ยที่ขึ้นแล้วจะต้องเร่งออกหุ้นกู้ เพราะหุ้นกู้มีกำหนดเวลาจ่ายคืนที่แน่นอน และเรทติ้งเขาก็ดี แม้ดอกเบี้ยแพงขึ้น แต่ก็ไม่แพงมาก”
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยยังคงแนะซื้อTRUE เนื่องจาก บริษัทมีแนวโน้มขาดทุนลดลง และจะมีกำไรในปี 2568 เป็นโอกาสทยอยสะสมได้ เพราะ หากบริษัทพลิกมีกำไรแล้วจะไปซื้อตอนนั้นราคาก็ขึ้นไปแล้ว รวมถึงในปี 2568 คาดว่าTRUE จะมีการขายเสาสัญญาณโทรคมนาคมเข้ากองรีท(DIF) แต่มูลค่าเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับบริษัทจะขายเข้าเท่าไร จากปัจจุบันมีเสาฯอยู่อีก 9 พันต้น
อนึ่งจากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุ ปีนี้ TRUE ได้ยื่นไฟลิ่งในการเสนอขายหุ้นกู้ จำนวน 4 ชุด วันที่ 20-24 ก.ค. มูลค่ารวมไม่เกิน 25,000 ล้านบาท (รวมสำรองขาย 5,000 ล้านบาท ) และในวันที่ 6-7 ก.ย. เสนอขายหุ้นกู้ 4 ชุด มูลค่ารวมไม่เกิน 7,000 ล้านบาท (มีสำรองขาย 2,000 ล้านบาท)