โบรกมอง 'หุ้นไทย' เสี่ยงหลุด1,400จุด 'กองทุน' หาจังหวะปรับพอร์ตโค้งท้ายปี
หุ้นไทยร่วงหนัก 22 จุด ต่างชาติเทขายหุ้น4.4 พันล้าน -บอนด์ไทย2.54 พันล้าน บล.กสิกรไทย ชี้ มีโอกาสปรับตัวลงแตะ1,390 จุด ครึ่งเดือนแรกต.ค. แต่หากเงินเฟ้อ-จ้างงานสหรัฐลดลง เป็นจุดกดบอนด์ยีลด์ลง หนุนตลาดหุ้นฟื้น “กองทุน”หาจังหวะปรับพอร์ตลงทุนไตรมาส 4 นี้
"หุ้นไทย"วานนี้ (3 ต.ค.) ลงแรงตั้งแต่เปิดซื้อขาย ระหว่างวันลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,443.24 จุด ก่อนจะรีบาวนด์มาปิดตลาดที่ 1,447.30 จุด หรือ ลดลง 22.16 จุด เป็นผลจากบอนด์ยีลด์สหรัฐยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 4.7% ดอลาร์อินเด็กซ์แข็งค่าขึ้น กดดันเงินบาทอ่อนค่าแตะ 37 บาทต่อดอลลาร์ ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทย 4,440.48 ล้านบาท และขายตราสารหนี้ไทย 2,549 ล้านบาท
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ ปรับตัวลงตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเนื่องจากความกังวลบอนด์ยีลด์ทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง ซึ่งบางประเทศทำสถิติสูงสุดในรอบ 20 ปี จึงเป็นแรงกดดันให้มีแรงขายหุ้นออกมา เพราะ Earning Yield Gapแคบลง ทำให้ตลาดหุ้นมีความน่าสนใจน้อยลง
โดยสาเหตุที่ทำให้ Earning Yield Gap ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาจาก2 ปัจจัย คือ ความกังวลเฟดอาจจำเป็นจะต้องยืนดอกเบี้ยปีหน้าทั้งปีเหนือ5% และDollar Indexแข็งค่าขึ้น หลังจากGovernment Shutdown ของผ่อนคลายลง
สำหรับ แนวโน้มดัชนีหุ้นไทย จากนี้จนถึงครึ่งเดือนแรกของเดือนต.ค. มีโอกาสที่ดัชนีปรับตัวลดลงอีกระยะ ถึงวันที่ 6 ต.ค. ที่สหรัฐจะประกาศตัวเลขการจ้างงาน และวันที่ 12 ต.ค.ที่สหรัฐจะประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ ซึ่งหากตัวเลข 2 ตัวดังกล่าวออกมาต่ำ เชื่อว่าจะเป็นจุดจบรอบของการขึ้นดอกเบี้ย ทำให้บอนด์ยีลด์และดอลลาร์อ่อนตัวลง รวมถึงหากมีความชัดเจนแหล่งที่มาของเงินดิจิทัลวอลเล็ตก็จะหนุนให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้
"การลงทุนในเดือนต.ค.เรียกได้ว่าต้นรายปลายดี ซึ่งครึ่งเดือนแรก มีโอกาสปรับตัวลงได้ แต่ไม่หลุด 1,390 จุด"
นางสาวภารดี มุณีสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย กล่าวว่า หากบอนด์ยีลด์สหรัฐ อายุ10 ปี ถึงจุดสูงสุดแตะระดับ 4.8% และทรงตัวต่อ หรือ อาจปรับขึ้นได้เป็นไปตามที่ตลาดคาด มองเป็นจุดพลิกกลับมาของตลาดหุ้นไทย ซึ่งเป็นโอกาสทยอยเข้าลงทุนได้ โดยคาดหวังผลตอบแทนที่ดีในระยะกลาง 3-6 เดือนข้างหน้า
โดยมองดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นไปที่แนวต้าน1,600 -1,650 จุด ขณะที่แนวรับอยู่ที่บริเวณ 1,450 จุด เป็นระดับที่เข้าลงทุนได้ ค่อนข้างปลอดภัยและผลตอบแทนที่ดี
ทั้งนี้ในช่วงรอความชัดเจนการใช้เงินของรัฐบาลผลักดันการดำเนินมาตรการต่างๆ เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นไทยเป็น “กลาง” สัดส่วนไม่เกิน5% แต่จะปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นตามความชัดเจนของภาครัฐ เน้นหุ้นได้ประโยชน์กลุ่มบริโภคในประเทศและท่องเที่ยวฟื้น ได้แก่ ค้าปลีก ท่องเที่ยว ขนส่ง รวมถึงทยอยปรับลดสัดส่วนหุ้นพลังงานลง เพราะคาดไตรมาส4 นี้ราคาน้ำมันน่าจะเริ่มทรงตัว ระดับ 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัจจุบันนักลงทุนยังกังวลเสถียรภาพตลาดหุ้นไทย ว่ารัฐบาลจะใช้งบดำเนินมาตรการต่างๆ เท่าไร และมาจากแหล่งไหนบ้าง หากมีความชัดเจนในเรื่องนี้มากขึ้นและนโยบายการเงินและการคลัง สอดประสานกระตุ้นเศรษฐกิจปี2567 ตามคาดการณ์ของธปท.จะเติบโต 4.4% คาดว่าเป็นจุดพลิกกลับตลาดหุ้นไทยได้
"แม้ขณะนี้บอนด์ยีลด์สหรัฐพุ่ง และทิศทางขึ้นดอกเบี้ยของเฟด แต่เราคาดจากนี้เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้แค่อีก1 ครั้ง หรือไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบหน้านี้ หากเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวฟันโฟลว์น่าจะกลับเข้ามาในต้นปีหน้า"
สำหรับ กลยุทธ์การลงทุน โดยนักลงทุนที่สามารถถือยาว 3-6 เดือนขึ้นไปได้ ดัชนีที่ระดับต่ำกว่า1,450 จุด เป็นจังหวะทยอยเข้าสะสมได้ จากคาดหวังกำไรบจ.ปีหน้าโตเกิน10% โดยคาดว่าดัชนีสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 1,550-1,580 จุด ซึ่งปรับลดลงจากคาดการเดิม 1,590-1,620 จุด เป็นผลจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยทั้งไทยและสหรัฐ
ดังนั้น การลงทุนหุ้นไทย ยังคงเน้นคัดเลือกหุ้นระยะสั้นรับประโยชน์ อานิงส์บาทอ่อน เช่น กลุ่มส่งออกก่อน โดยพอร์ตการลงทุน เริ่มปรับเพิ่มน้ำหนักสัดส่วนหุ้นไทย มาที่ระดับไม่เกิน15%จากก่อนหน้าไม่เกิน 10% ขณะที่หุ้นต่างประเทศให้น้ำหนักแต่ละตัวสัดส่วนไม่เกิน 15-20% ยกเว้นเวียดนามกำหนดสัดส่วนไม่เกิน5-10%
นายวัชระ แก้วสว่าง นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า ไม่แปลกใจที่หุ้นไทยปรับตัวลง เพราะ เป็นการปรับตัวลงทั่วโลก แต่ดัชนีหุ้นไทยถือว่าปรับตัวลงน้อยกว่าประเทศอื่น ซึ่งส่วนตัวได้ลดพอร์ตเท่าที่ลดได้มาตั้งแต่ดัชนีหลุด 1,520 จุด แต่ปัจจุบันติดหุ้นเต็มไปหมด ทั้งหุ้นใหม่(ไอพีโอ) และหุ้นตัวอื่น
“โดยขณะนี้รอดูว่าดัชนีลงไปตรงไหน เพราะ ในระยะกลางมองว่าดัชนียังไม่มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้”