จับตาประชุม ‘ก.ล.ต.- ตลท.’ เย็นนี้ หลัง 'หุ้นไทย' ส่อวิกฤติ ร่วงหนักกว่า 20 จุด
จับตาประชุม ‘ก.ล.ต. - ตลท.’ เย็นนี้ เพื่อติดตามสภาวะตลาดหุ้นไทยวิกฤติหนัก หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยปิดตลาดเช้าดิ่ง 18 จุด หรือ -1.29% ในวันนี้(9 พ.ย.66) หลังจากหุ้นกลุ่มค้าปลีก และหุ้น BH มีผลงานต่ำคาด พร้อมกับ หุ้น JKN ยื่นขอฟื้นฟูกิจการ ทำให้ราคาเปิดตลาดดิ่งฟลอร์ที่ 29.36%
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้เชิญสื่อมวลชนร่วมพูดคุยใน งาน media briefing เรื่อง "การติดตามสภาวะตลาดทุนร่วมกันระหว่าง ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์ฯ" ณ เวลา 17.00 - 18.00 น. ของวันนี้ (9 พ.ย.66)
หุ้น JKN ดิ่งฟลอร์
โดยสถานการณ์หุ้นไทยวันนี้ เผชิญกับปัจจัยลบหลายประการ ตั้งแต่ บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN) มีรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงกรณีที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 10/2566 เมื่อวันที่ 7 พ.ย.66 มีมติอนุมัติให้ บริษัทในฐานะลูกหนี้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ และเสนอผู้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ ต่อศาลล้มละลายกลางภายใต้พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483
ส่งผลให้ราคาหุ้น JKN เปิดตลาดดิ่งฟลอร์ที่ระดับ 29.36% หรือราคาลดลง 0.32 บาท มาอยู่ที่ 0.77 บาท
กิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจ ว่า JKN มีการยื่นขอคำร้องขอฟื้นฟูกิจการเอง ซึ่งการยื่นขอฟื้นฟูกิจการคือ การปกป้องกิจการของตนเอง เนื่องจาก JKN ประสบปัญหาการขาดสภาพคล่อง หากมีคนอื่นเข้ามายื่นให้ JKN ชำระหนี้หรือคืนหนี้แทน JKN อาจจะไม่สามารถชำระหนี้ได้
ฉะนั้นจึงแก้ปัญหาด้วยการขอฟื้นฟูกิจการ ซึ่งจะส่งผลให้สภาวะกิจการสามารถหยุดพักชำระหนี้ได้ หมายความว่า เจ้าหนี้จะเข้ามาเรียกร้องมิได้ หรืออาจจะต้องมีการแสดงตนว่า ใครบ้างที่เป็นเจ้าหน้าที่ และมีสิทธิเรียกร้องอะไรได้บ้าง ดังนั้น JKN จึงต้องไปทำแผนเพื่อมายื่นต่อศาลล้มละลายกลาง ว่าแผนจะเป็นในลักษณะอย่างใด เพื่อพิจารณาว่าจะได้รับการอนุมัติต่อไปหรือไม่
ปิดตลาดเช้าร่วง 18.21 จุด หลังหุ้นค้าปลีกผลงานต่ำคาด
หุ้นไทยปิดตลาดภาคเช้า (9 พ.ย.66 เวลา 12.30 น.) ที่ 1,393.56 จุด ลดลง 18.21 จุด หรือ -1.29% โดยตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาลึกจากหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่ผลประกอบการไตรมาส 3/ 66 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะที่หุ้น BH ปรับตัวลงมาแรงเช่นกัน แม้ว่าผลประกอบการจะออกมาดี แต่นักวิเคราะห์ต่างชาติประเมินว่า ยังคงมีความเสี่ยงจากลูกค้าฝั่งตะวันออกกลาง
ขณะที่หุ้น BH ปิดตลาดภาคเช้าราคาอยู่ที่ระดับ 233.00 บาท ลดลง 16.00 บาท หรือ -6.43%
ส่วนกลุ่มค้าปลีกที่ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก และเป็นตัวฉุดดัชนีหุ้นไทยลงมา มีดังนี้
- BJC ปิดตลาดภาคเช้าราคาอยู่ที่ระดับ 27.00 บาท ลดลง 2.75 บาท หรือ -9.24%
- COM 7 ปิดตลาดภาคเช้าราคาอยู่ที่ระดับ 24.60 บาท ลดลง 2.40 บาท หรือ -8.89%
- CPAXT ปิดตลาดภาคเช้าราคาอยู่ที่ระดับ 26.50 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ -5.36%
- CPALL ปิดตลาดภาคเช้าราคาอยู่ที่ระดับ 54.50 บาท ลดลง 1.25 บาท หรือ -2.24%
วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย ให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจ ว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (9 พ.ย.66) Underperfrom ลบอยู่ประมาณ 1.2% ส่วนไต้หวัน กับฮ่องกง ลดลงมาแค่ 0.1% ซึ่งสวนทางกับตลาดหุ้นเอเชียที่ส่วนใหญ่จะเขียวขึ้นมาได้
ทั้งนี้ ตลาดได้รับรู้ข่าวร้ายไปแล้ว เรื่องงบการเงิน แต่วันนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีปัจจัยบวกอยู่จากกรณีอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐที่ผ่านจุดพีคไปแล้ว มองว่า ตลาดหุ้นอาจจะมีการปรับลงแต่ดาวน์ไซด์เริ่มมีจำกัด
ส่วนผลประกอบการที่ออกมาแย่เป็นสถานการณ์เพียงชั่วคราว แต่ปัจจัยพื้นฐานยังดีอยู่ไม่ได้มีการเปลี่ยน เป็นโอกาสที่นักลงทุนสามารถเข้าไปซื้อทยอยสะสมได้ สำหรับหุ้นไทย เพราะ Valuation ไม่แพง P/E วันนี้อยู่ที่ 14 เท่า
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์