เกิดอะไรกับ AOT ราคาดิ่ง วอลุ่มแน่น แรงขายต่างชาติอื้อ!
เกิดอะไรกับ AOT ราคาดิ่ง วอลุ่มแน่น แรงขายต่างชาติอื้อ! Program Trading กว่า 4,601 ล้านบาท ส่วนการขายชอร์ตหุ้น AOT มีมูลค่า 360 ล้านบาท
เกิดอะไรขึ้น!!! กับหุ้น AOT ช่วง 2 -3 วันที่ผ่านมา ราคาดิ่งลงอย่างฮวบฮาบ ซึ่งวันที่ 23 พ.ย.66 ถือว่าร่วงลงมามากสุดราคาหุ้นอยู่ที่ 62.25 บาท ลดลง 3.75 บาท หรือ 5.68% มีมูลค่าการซื้อขาย 11,666.15 ล้านบาท ซึ่งผ่าน Program Trading รวมกว่า 4,600.61 ล้านบาท หรือ 40.06% ขณะที่ส่วนการขายชอร์ตหุ้น AOT มีมูลค่า 359.78 ล้านบาท หรือ 3.05%
ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจว่า แม้ว่าหุ้น AOT จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวกลับมาได้บ้าง เนื่องจากราคาหุ้นลงไปรับข่าวร้ายค่อนข้างมาก ซึ่งช่วง 3 วันที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 21 -23 พ.ย.66 ลงไปประมาณ 6.8% มาร์เก็ตแคปหายไปประมาณกว่า 9 หมื่นล้านบาท ฉุดดัชนีหุ้นไทยลงไปกว่า 9 จุด และเฉพาะวันเดียวที่ลงมาหนักในวันที่ 23 พ.ย.66 มาร์เก็ตแคปหายไปกว่า 5.3 หมื่นล้านบาท โดย AOT ฉุดดัชนีหุ้นไทยลงไปมา 5 จุด
จากการสำรวจในช่วงนี้ นักท่องเที่ยวจีนหายไปมีการคืนสลอตการบิน เพราะนักท่องเที่ยวจีนยังคงหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่มีการยิงกันเกิดขึ้นที่พารากอนและมีนักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิต ทำให้นักท่องเที่ยวจีนรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยได้ และที่จีนเองมีการทำภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับประเทศไทย และมีการโดนจับไปเรียกค่าไถ่ที่แม่สอด เลยทำให้การรับรู้ประเทศไทยของชาวจีนแย่ลง บวกกับช่วงโควิดที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจีนค่อนข้างมาเที่ยวในช่วงนั้นมากแล้ว พอมีประเด็นตรงนี้เกิดขึ้นเลยทำให้นักท่องเที่ยวจีนเกิดการชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์หลักและทำให้เป็นจุดเปลี่ยนคือ เหตุการณ์ที่สยามพารากอนและมีคนจีนเสียชีวิต ทำให้กระทบความเชื่อมั่นไปมาก ช่วงจังหวะที่เปิดฟรีวีซ่าเพื่อกระตุ้นนักท่องเที่ยวจีน เลยถือว่าเป็นจังหวะที่ไม่ดี ไม่ได้ผลตามที่คาดการณ์ไว้ เพราะเกิดการคาดหวังที่ค่อนข้างสูงมากจากมาตรการดังกล่าว
ส่วนการปรับเพิ่มขึ้นค่า PSC มีกระแสข่าวออกมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ที่มีการปรับเพิ่มขึ้่นเพื่อต้องการให้มีการสอดคล้องกับต้นทุนในการดำเนินงานที่สูงขึ้่น จะมีการเรียกเก็บจากสายการบิน 30 บาท และคาดว่า AOT อาจจะมีกำไรที่เพิ่มมากขึ้น แต่ AOT ได้ออกมาบอกว่าการจัดเก็บในจำนวน 30 บาท จากสายการบินอยู่แล้ว แต่มีการแยกประเภทให้ถูกต้องมากขึ้น และสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งได้รับการอนุมัติจากกระทรวงคมนาคมเรียบร้อยแล้ว
“ค่าบริการตรงนี้มีการถูกเรียกเก็บอยู่แล้ว แต่จะมีการจัดประเภทใหม่ โดยดึง 30 บาทนี้ให้มาบันทึกเป็นรายได้จากการให้บริการผู้โดยสารขาออกจากก่อนหน้านั้นบันทึกเป็นบัญชีรายได้บริการ เป็นแค่การโยกบัญชีเท่านั้น ไม่ได้มีอัพไซด์ ไม่ได้มีผลอะไร ส่วนการขึ้นค่า PSC อยู่ระหว่างการศึกษาคาดว่าจะใช้ระยะเวลาอีกระหนึ่ง”
ขณะที่ผลการดำเนินงานของ AOT ที่ออกมาแม้จะออกมาดี แต่ต่ำว่ากว่าคาดหรือใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ซึ่งการเร่งตัวของนักท่องเที่ยวในปีหน้าอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ในตอนแรก สาเหตุหลักมาจากนักท่องเที่ยวจีนที่ชะลอ และมีการยืดอายุค่าเช่าพื้นที่ขั้นต่ำที่ผู้เช่าพื้นที่ในเชิงพาณิชย์เช่น King Power เป็นต้น ทำให้กระทบกระแสเงินสดของ AOT
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตมองว่า หุ้น AOT หากไม่มีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเพิ่มเติมราคาจะอยู่ในกรอบการแกว่งไซด์เวย์ แม้ว่านักท่องเที่ยวจีนมาไม่มาก แต่คาดหวังว่ารัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศเข้ามาชดเชย อย่างเช่น เราเที่ยวด้วยกันที่สามารถนำกลับมาใช้ได้ รวมถึงมาตรการการช่วยเหลือค่าน้ำมันสายการบิน เพื่อลดค่าโดยสารลงมาเพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวทางอ้อม ถึือเป็นปัจจัยบวกให้กับ AOT ได้
กรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน สายงานวิจัย บล.ซีจีเอส ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับกรุงเทพธุรกิจว่า หุ้น AOT ที่ปรับร่วงลงมาในช่วง 2 -3 วันก่อนหน้านี้สาเหตุแรกนักท่องเที่ยวจีนมีการยกเลิกสลอตการบิน ซึ่งก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์ว่า ท่องเที่ยวน่าจะมีการฟื้นกลับขึ้นมาได้จากนักท่องเที่ยวจีนในช่วงไตรมาส 4/66 และปีหน้า (2567) โดยได้มีการออกมาตรการฟรีวีซ่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนกลับไม่ได้ตามเป้าหมาย
ด้าน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ออกมาตอกย้ำอีกว่า ณ ปัจจุบัน ประเทศไทยเองไม่ใช่เป้าหมายหลักของนักท่องเที่ยวจีนเหมือนในสมัยก่อนอีกต่อไป แต่กลับกลายไปเลือกท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นแทน หลังจากที่มีเหตุการยิงกลางห้างพารากอน และมีนักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิต
ส่วนผลการดำเนินงานที่ผ่านมาถือว่า AOT ดูดีขึ้น แต่นักวิเคราะห์ยังมองว่า ต่ำกว่าคาด หลังจากที่ส่วนต่อขยาย อาคารผู้โดยสารใหม่ SAT-1 ให้มีความใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวและมาใช้บริการ จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายเข้ามา ส่งผลให้งบที่ออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
และในช่วง 2- 3 ปีข้างหน้า AOT จะมีการปรับค่าบริการ PSC เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ถือว่าจำนวนเงินต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เช่นกัน เนื่องจากก่อนหน้านี้บริษัทฯ คาดการณ์ไว้ว่า น่าจะมีการปรับค่า PSC จากผู้โดยสารระหว่างประเทศจะถูกปรับเป็น 900 บาทต่อคน และผู้โดยสารในประเทศจะถูกปรับเป็น 150 บาทต่อคน ขณะเดียวกัน AOT เตรียมปรับขึ้นค่าบริการผู้โดยสารขาออก หรือ PSC โดยผู้โดยสารระหว่างประเทศ ปรับจาก 700 บาท เป็น 730 บาทต่อคน และผู้โดยสารในประเทศ ปรับจาก 100 บาท เป็น 130 บาทต่อคน
อย่างไรก็ดี จากการปรับค่า PSC ในราคา 30 บาท นี้ ไม่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่าย SAT1 Terminal มากไปกว่านั้นการปรับราคาเป็นการ reclassification หรือ การจัดประเภทใหม่ จาก รายได้ CUPPS หรือ รายได้ฝั่งบริการ มาเป็น PSC ดังนั้น เนื่องจากเป็นการ reclassification ผลกระทบ หรือ upside ต่อ ประมาณการณ์ของบริษัทฯ จึงไม่มี
นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าว แก้ไขสัญญาสัมปทานกับ King Power ซึ่งหากย้อนไปในช่วงโควิด AOT มีการปรับลดค่าเช่าลง หลักจากที่ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทย จนมาถึง ณ ปัจจุบัน
“สิ่งกังวลเป็นหลัก คือ นักท่องเที่ยวจีนไม่มา เพราะรัฐบาลออกฟรีวีซ่าให้แล้ว ก็ยังไม่มีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาตามที่คาดการณ์ไว้ และในปีหน้าคาดว่านักท่องเที่ยวไม่น่าจะถึง 35 ล้านคน น่าจะได้แค่ 32 ล้านคน เพราะที่ผ่านมากระทบความเชื่อมั่นจีน นักท่องเที่ยวจีนเลยหันไปเที่ยวประเทศอื่นแทน โดยเฉพาะญี่ปุ่นม ต้องยอมรับว่า หากนักท่องเที่ยวจีนไม่มาไทย ”
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ดังกล่าวต้องยอมรับว่า ไม่เหมือนกับช่วงโควิดที่ผ่านมา ที่ราคา AOT ปรับตัวลงมาทำให้ น่าเข้าไปสะสมซื้อ แต่ปัจจุบัน หากจีนไม่มาไทย รวมถึงมาตรการจีนมีนโยบายให้ท่องเที่ยวกันเองในประเทศ หุ้น AOT มีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คิด