สำรวจหุ้น set100 รอบ 11 เดือน ราคา YTD บวก-ลบ มากสุด
สำรวจหุ้น SET100 ช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนได้สูงสุด BCP ผลตอบแทนราคา YTD +38.10% และติดลบมากสุด BYD ผลตอบแทนราคา YTD -65.26%
มรสุมหุ้นไทยยังคงมีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้่นมาได้ แต่ตลาดหุ้นไทยเองกลับดิ่งลงหรือทรง ๆ ในระดับที่ต่ำว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ค่อนข้างมา โดยเฉพาะในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยถือว่าตกต่ำมากที่สุดหากเทีียบกับตลาดทั่วโลก สาเหตุเกิดจากสภาวะเศรษฐกิจไทยที่โตได้ไม่ดีมากนัก บวกกับบริษัทจดทะเบียนเองได้กำไรที่ต่ำกว่าคาด
กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ KCS ให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจว่า ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีมาด้วยความคาดหวังสูง จากการเปิดประเทศของจีนช่วงปลายปี 2565 ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีกระแสเงินไหลเข้าต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงต้นปี 2566 ทำให้ตลาดหุ้นไทยเลยมีการคาดหวังที่สูงในปีนี้ ขณะที่หลังจากนั้นเศรษฐกิจจีนเริ่มแผ่วลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่นเดียวกับภาพเศรษฐกิจไทยที่ดูจะสะดุดตามไปด้วย เลยทำให้ปีนี้เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าเป้า โดยในต้นปีคาดว่า จีดีพีจะโตได้ประมาณ 3.5 4.5% ปัจจุบันโตได้แค่ 2.5% ต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเติบโตได้กว่า 3%
รวมไปถึงการเมืองที่ช่วงแรก ๆ จะดูเป็นภาพบวกต่อตลาดหุ้นไทย แต่มีการฟอร์มรัฐบาลล่าช้ากว่าที่คาดการณ์กันไว้ ส่งผลให้แปรเปลี่ยนเป็นเชิงลบ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทย Underperfrom ซึ่งเม็ดเงินการลงทุนของนักลงทุนระยะกลาง ถึงยาวค่อนข้างมีจำกัดด้วย ผลจากที่ไม่ได้มีสภาพคล่องเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยดูจะค่อนข้างแย่ แต่ทิศทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4/66 เริ่มมีสัญญาณโตเร่งขึ้นมา หลังจากที่ภาคบริการและภาคบริโกคอยู่ช่วงไฮซีซั่น นักลงทุนต่างชาติดูจะเร่งขึ้นมาในช่วงปลายปีนี้ รวมไปถึงภาคส่งออกมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เกินดุลบัญชีเดินสะพัดมา 3 เดือนติดต่อกัน จึงเป็นแรงบวกว่า ในไตรมาส 4/66 น่าจะเริ่มสัญญาณการฟื้นตัว ส่วนกองทุน TESG ถือเป็นตัวช่วยที่เข้ามาสนับสนุน ทั้งนี้ในสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้เหมาะกับนักลงทุนระยะกลางและยาว
ขณะที่หุ้นกลุ่ม SET100 ติดลบอยู่ที่ 16% ในรอบ 11 เดือน ตัวที่ให้ผลตอบแทนที่ดียังคงเป็นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ให้รีเทิร์นกว่า 20% เพราะว่าภาพระยะกลาง-ยาว เริ่มมองเห็นเทรนด์ระดับเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ขณะที่หุ้น BCP มีปัจจัยเฉพาะตัวที่ปรับตัวขึ้นมาจากการควบรวมกับเอสโซ่ ส่วน KCE ได้รับอานิสงส์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในเอเชียที่ฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 2/66
ส่วนที่ Underperfrom ในกลุ่ม SET100 เป็นกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจฐานราก ภาพรวมลงมาค่อนข้างมาก ซึ่งก่อนหน้านี้หุ้นกลุ่มเหล่านี้ค่อนข้างมีการเติบโตสูง มี Valuation หลังจากสภาพคล่องหดหายจึงถูกลดทอนลงมา
อย่างไรก็ตาม หุ้นใน SET100 ยังมีโอกาสเข้าไปลงทุนได้อยู่ เพราะในปีหน้าวงจรอัตราดอกเบี้ยสิ้นสุดขาขึ้น และรอว่าอัตราดอกเบี่้ยจะปรับลดลงมาเมื่อไร โดยเฉพาหุ้นอิงการบริโภคจะได้รับแรงหนุนกระเตี้องขึ้นในปีหน้าได้
วีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทในเครือ บล. ฟินันเซีย ไซรัส ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาถือว่าค่อนข้างอ่อนแอ ระดับต้น ๆ ของโลก ลบไปกว่า 17% ตั้งแต่ต้นปี 2566 หลัก ๆ มาจากเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ไม่ดี ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศบวกได้ค่อนข้างมาก แม้ว่าในฝั่งของสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้จะมีความกังวลกลัวบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น แต่พอเศรษฐกิจกลับมาแข็งแกร่งกว่าที่คาดก็ยังทำให้ตลาดหุ้นในสหรัฐกลับมาบวกได้
และในปีนี้ที่เห็นได้ชัด ที่มีการคาดการณ์ไว้จีดีพีไว้ก่อหน้าที่ประมาณ 3% แต่ปัจจุบันได้มีการคาดการณ์กันไว้แค่ 2.5% ซึ่งสาเหตุมาจากเศรษฐกิจยังโตไม่ได้เท่ากับตอนต้นปีที่ตลาดคาดการณ์ไว้ รวมถึงกำไรจดทะเบียนที่ช่วงต้นปี 2566 ประเมินไว้ที่ 95 บาท แต่ขณะที่มีการประเมินใหม่อยู่ที่ประมาณ 80 บาทต้น ๆ เท่านั้น ซึ่งถือว่าหายไปค่อนข้างมาก ซึ่งถือว่าร่วงหล่นลงมาจากที่ตลาดหุ้นไทยติดลบอยู่ประมาณกว่า 10% จึงถือเป็นปัจจัยหลัก
อย่างไรก็ตาม หุ้นในแต่ละตัวที่มีการปรับขึ้นมา และมีการปรับลดลง ในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัว แต่ที่เห็นชัดจะเห็นว่าหุ้น JMT JMART ที่ปรับร่วงลงมา เนื่องจากว่า Valuation ที่ผ่านมาค่อนข้างแพง เทรด P/E อยู่ที่ 40 เท่า พอมาเจออัตราดอกเบี้ยที่สูง จึงทำให้ถูกกด P/E ลงมา รวมถึงงบซึ่งในไตรมาส 3/66 JMT ออกมา ทำให้ตลาดมีความกังวล จึงทำให้ราคาปรับลดลงมาแรง ๆ ขณะที่ WHA และ AMATA ได้รับประโยชน์จากการเข้ามาลงทุนของธุรกิจ EV ในจีน ซึ่งถือว่า นิคมอุตสสาหกรรมมีปัจจัยบวกเข้ามา ส่วนกลุ่มไฟแนนซ์ JMT ล้วนแล้วแต่มีปัจจัยกดดันเข้ามาที่ดอกเบี้ยสูง
หากมองดัชนีหุ้นไทยที่มีการปรับลดลงมาในระดับนี้ ได้สะท้อนปัจจัยลบว่าสิ่งที่ผิดคาดในปีนี้ไปมากแล้ว โดยในปีหน้าคาดหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะไปได้ดีกว่าปีนี้ แต่ขึ้นอยู่กับนโยบายภาครัฐอย่างเงินดิจิทัลจะคลอดออกมาได้หรือไม่ หรือออกมาแล้วได้ผลมากน้อยแค่ไหน โดยในปีหน้าต้องเห็นเศรษฐกิจไทยโตได้ 3% ขึ้นไป
ส่วนกำไรจดทะเบียนในปีนี้ที่ผิดคาดไปมากเช่นกัน หรีอเรียกได้ว่าแทบจะไม่โต แทนที่จะต้องโตอยู่ที่ระดับกวา 10% ซึ่งคาดว่าในปีหน้าอาจจะโตได้แรงกว่าหรือชดเชยปีที่ไม่โตได้ โดยคาดกว่า EPS ตลาดหุ้นไทยจะขยับไปได้ 95 บาทต่อหุ้น และประเมินดัชนีหุ้นไทยไว้ที่ 1,520 จุด
ทั้งนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” ได้สำรวจหุ้น SET100 ช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา ที่สามารถให้ผลตอบแทนได้สูงสุด และติดลบมากสุด มีดังนี้
10 อันดับแรก บวกมากสุดในรอบ 11 เดือน
1.บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP
- ผลตอบแทนราคา YTD +38.10%
- เงินปันผล YTD 5.12%
- ราคาปิด 1 ธ.ค.66 ที่ 43.75 บาท
2.บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA
- ผลตอบแทนราคา YTD +22.55%
- เงินปันผล YTD 3.34%
- ราคาปิด 1 ธ.ค.66 ที่ 5.15 บาท
3.บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA
- ผลตอบแทนราคา YTD +17.37%
- เงินปันผล YTD 2.40%
- ราคาปิด 1 ธ.ค.66 ที่ 25.75 บาท
4.บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW
- ผลตอบแทนราคา YTD +17.19%
- เงินปันผล YTD -%
- ราคาปิด 1 ธ.ค.66 ที่ 5.15 บาท
5.บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC
- ผลตอบแทนราคา YTD +15.13%
- เงินปันผล YTD 2.17%
- ราคาปิด 1 ธ.ค.66 ที่ 43.75 บาท
6.บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP
- ผลตอบแทนราคา YTD +12.94%
- เงินปันผล YTD 6.46%
- ราคาปิด 1 ธ.ค.66 ที่ 48.25 บาท
7.บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE
- ผลตอบแทนราคา YTD +12.90%
- เงินปันผล YTD 3.05%
- ราคาปิด 1 ธ.ค.66 ที่ 54.50 บาท
8.บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC
- ผลตอบแทนราคา YTD +11.79%
- เงินปันผล YTD 3.53%
- ราคาปิด 1 ธ.ค.66 ที่ 219.00 บาท
9.บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB
- ผลตอบแทนราคา YTD +9.87%
- เงินปันผล YTD 0.84%
- ราคาปิด 1 ธ.ค.66 ที่ 8.40 บาท
10.ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB
- ผลตอบแทนราคา YTD +9.22%
- เงินปันผล YTD 4.72%
- ราคาปิด 1 ธ.ค.66 ที่ 1.55 บาท
10 อันดับแรก ลบมากสุดในรอบ 11 เดือน
1.บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BYD
- ผลตอบแทนราคา YTD -65.26%
- เงินปันผล YTD -%
- ราคาปิด 1 ธ.ค.66 ที่ 4.64 บาท
2.บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT
- ผลตอบแทนราคา YTD -62.32%
- เงินปันผล YTD 4.15%
- ราคาปิด 1 ธ.ค.66 ที่ 26.50 บาท
3.บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART
- ผลตอบแทนราคา YTD -56.56%
- เงินปันผล YTD 6.25%
- ราคาปิด 1 ธ.ค.66 ที่ 17.90 บาท
4.บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI
- ผลตอบแทนราคา YTD -54.77%
- เงินปันผล YTD 4.02%
- ราคาปิด 1 ธ.ค.66 ที่ 2.02 บาท
5.บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY
- ผลตอบแทนราคา YTD -55.75%
- เงินปันผล YTD 3.07%
- ราคาปิด 1 ธ.ค.66 ที่ 4.98 บาท
6.บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA
- ผลตอบแทนราคา YTD -54.12%
- เงินปันผล YTD 0.67%
- ราคาปิด 1 ธ.ค.66 ที่ 45.25 บาท
7.บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL
- ผลตอบแทนราคา YTD -50.48%
- เงินปันผล YTD 4.63%
- ราคาปิด 1 ธ.ค.66 ที่ 2.60 บาท
8.บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM
- ผลตอบแทนราคา YTD -47.78%
- เงินปันผล YTD 6.67%
- ราคาปิด 1 ธ.ค.66 ที่ 8.30 บาท
9.บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL
- ผลตอบแทนราคา YTD -47.52%
- เงินปันผล YTD 20.71%
- ราคาปิด 1 ธ.ค.66 ที่ 8.55 บาท
10.บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU
- ผลตอบแทนราคา YTD -45.62%
- เงินปันผล YTD 12.57%
- ราคาปิด 1 ธ.ค.66 ที่ 7.50 บาท