7 หุ้นนางฟ้า ทรงอิทธิพลมากสุดในตลาดหุ้นสหรัฐ สิ้นสุดปี 66 สดใสสร้างกำไร 75%
7 หุ้นนางฟ้า The Magnificent Seven ทรงอิทธิพลมากสุดในตลาดหุ้นสหรัฐ สิ้นสุดปี 2566 แบบสดใส พุ่งขึ้น 75% ซึ่งมีน้ำหนักต่อดัชนี S&P 500 สูงถึง 30% ทำให้เมื่อหุ้นแกว่งตัวขึ้นลง จึงมีอิทธิพลต่อตลาดสหรัฐอย่างมาก หลังจากปีก่อนลดลง 40% ทำให้มูลค่าตลาดรวมลดลง 4.7 ล้านล้านดอลลาร์
นำโดยหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่แค่ 7 ตัวเท่านั้น กลุ่ม Magnificent Seven หรือถ้าแปลตรงตัวจะเรียกว่า “7 หุ้นเทพ” หรือคนไทยมักเรียกว่า 7 หุ้นนางฟ้า ได้แก่ Apple, Microsoft, Google (Alphabet), Amazon, NVIDIA, Tesla และ Facebook (Meta) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั้ง 7 บริษัท ซึ่งบริษัทเหล่านี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อตลาดหุ้นสหรัฐ เนื่องจากเป็นกลุ่มบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐ และเป็นตัวนำตลาดหุ้นสหรัฐ ให้ปรับตัวขึ้นในปีนี้
หุ้นทั้ง 7 ตัวพุ่งขึ้น 75% ในปี 2566 คิดเป็นประมาณ 30% ขณะที่อีก 493 บริษัทใน S&P 500 เพิ่มขึ้นเพียง 12% ในขณะที่ดัชนีโดยรวมเพิ่มขึ้น 23% ตามรายงานของ Goldman Sachs Global Investment Research
ตั้งแต่ต้นปีมานี้ ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงเหนือกว่าตลาดอื่นๆ ทั่วโลก แต่เมื่อดูรายละเอียด พบว่าเป็นการเพิ่มขึ้นแบบกระจุกตัวอยู่ในกลุ่ม The Magnificent Seven ซึ่งมีน้ำหนักต่อดัชนี S&P 500 สูงถึง 30% พอหุ้นพวกนี้แกว่งขึ้นลง จึงมีอิทธิพลต่อดัชนีหุ้นสหรัฐ มากทีเดียว
ไม่เพียงแค่เป็น 7 หุ้นที่ทำผลงานเด่นเหนือตลาดสหรัฐเท่านั้น อิทธิพลของหุ้นเทคโนโลยีทั้ง 7 นั้นมหาศาลในระดับโลกเช่นกัน จากดัชนี MSCI All Country World สะท้อนว่า 85% ของตลาดตราสารทุนทั่วโลก นั้นมาจาก Magnificent Seven ซึ่งใหญ่กว่าหุ้นทั้งหมดจากญี่ปุ่น ฝรั่งเศส จีน และสหราชอาณาจักร
ทำให้นักลงทุน และนักวิเคราะห์ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของตลาดมาสักพัก เพราะมีหุ้นเพียงไม่กี่ตัวเข้ามามีอิทธิพลต่อตลาด ซึ่งหากหุ้นตัวใหญ่ไม่กี่ตัวร่วงลงก็จะเสี่ยงทำให้ตลาดปรับตัวลดลงตามไปด้วย
ความกังวลเหล่านั้นสะท้อนความเป็นจริงจากเมื่อปีที่แล้ว เมื่อหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ร่วงลงเนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้เมื่อสิ้นสุดปี 2565 The Magnificent Seven ลดลง 40% โดยสูญเสียมูลค่าตลาดรวม 4.7 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะหุ้นที่เหลือใน S&P 500 ลดลง 12%
ผลประกอบการสดใส
ในขณะเดียวกัน ผลประกอบการของกลุ่ม Magnificent Seven ก็สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น และการเติบโตของเทคโนโลยี AI ที่บริษัทเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการพัฒนา โดยในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา พบว่าผลกำไรของบริษัทในกลุ่มอย่าง NVIDIA ขยายตัวกว่า 429% และ Amazon ขยายตัวกว่า 245%
ในขณะที่ Meta, Tesla, Alphabet, Microsoft ยังคงเติบโตได้ดีที่ราว 20% มีเพียง Apple ที่เติบโตเพียง 5% แต่เป็นที่น่าจับตามองว่า iPhone15 ที่กำลังจะเปิดตัวในช่วงสัปดาห์นี้ อาจจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะดึงผลประกอบการของ Apple ให้กลับมาโดดเด่นได้
อ้างอิง wsj
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์