ดาวโจนส์ดิ่งกว่า 200 จุด บอนด์ยีลด์ทุบตลาด
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันอังคาร(16ม.ค.)ปรับตัวร่วงลงกว่า 200 จุด โดยถูกกดดันจากการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 231.86 จุด หรือ 0.62% ปิดที่ 37,361.12 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลง 0.37% ปิดที่ 4,765.98 จุดและดัชนีแนสแด็ก ร่วงลง 0.19% ปิดที่ 14,944.35 จุด
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี บอนด์ยีลด์ ดีดตัวเหนือระดับ 4% ในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตายอดค้าปลีกในวันพรุ่งนี้เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐ จะทำให้ผู้บริโภคมีเงินสำหรับการใช้จ่ายลดน้อยลง
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินกู้จำนองเพิ่มมากขึ้น และบริษัทต่างๆจะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ทำให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
นักลงทุนลดน้ำหนักต่อคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 70.0% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. หลังจากที่ก่อนหน้านี้ให้น้ำหนัก 76.9%
นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกบอร์ดผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้
ด้านนายโรเบิร์ต โฮลซ์แมนน์ สมาชิกคณะกรรมการควบคุมนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณว่า ECB อาจไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
"ผมไม่สามารถจินตนาการได้ว่าเราจะหารือกันเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ เนื่องจากเรายังไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้ เพราะสิ่งที่เราเห็นในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาล้วนบ่งชี้ไปในทิศทางตรงกันข้าม ดังนั้นผมคาดว่าเราจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเลยในปีนี้" นายโฮลซ์แมนน์กล่าวในการประชุม World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนดีดตัวขึ้น 2.9% ในเดือนธ.ค. โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาพลังงาน ขณะที่เป้าหมายเงินเฟ้อของ ECB อยู่ที่ระดับ 2%
"ถ้าเรายังไม่เห็นว่าเงินเฟ้อกำลังลดลงสู่ระดับ 2% อย่างชัดเจน เราก็ยังไม่สามารถประกาศได้ว่าเราจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้เมื่อใด" นายโฮลซ์แมนน์กล่าว