เปิด 6 หุ้นอาหาร ขนม เครื่องดื่มไทย ดังไกลไปทั่วโลก
หุ้นในกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม และขนม ที่มีการเติบโตไประดับโลก มีด้วยกัน 6 บริษัท ที่จับตา CPF มีฐานการผลิตใน 17 ประเทศทั่วโลก และเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และอาหารไปกว่า 40 ประเทศ ครอบคลุม 5 ทวีปทั่วโลก ราคา 52 สัปดาห์สูงสุด/ต่ำสุด 23.10 / 17.00 บาท
ปัจจุบันนี้ในประเทศไทยมีอุตสาหกรรมที่เติบโตด้วยการส่งออกไปยังระดับโลกเป็นจำนวนมาก แต่ที่โดดเด่นและน่าจับตาอย่างยิ่งในปี 2567 นั่นคือ “อุตสาหกรรมอาหาร” ซึ่งเป็น 1 ในปัจจัย 4 และธุรกิจอาหารไทยมีแนวโน้มขยายตัวและเติบโตได้เป็นอย่างดี หลังจากที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว บวกกับธุรกิจท่องเที่ยวทั้งร้านอาหารและโรงแรม กลับมาคึกคัก ตามนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล “เศรษฐา ทวีวิน” นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ทั้งนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” ได้สำรวจกิจการที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม และขนม ที่มีการเติบโตไประดับโลก ซึ่งมีด้วยกัน 6 บริษัท ที่จับตา
6 หุ้นอาหาร ขนม เครื่องดื่มไทย ที่ดังไกลทั่วโลกมีดังนี้
1.บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF
CPF ประกอบธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารที่จำแนกธุรกิจหลักตามลักษณะของผลิตภัณฑ์ ออกเป็น 3 ประเภท คือ
- ธุรกิจอาหารสัตว์ (Feed) ได้แก่ การผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์
- ธุรกิจเลี้ยงสัตว์-แปรรูป (Farm-Processing) ได้แก่ การเพาะพันธุ์สัตว์ การเลี้ยงสัตว์เพื่อการค้า และการแปรรูปเนื้อสัตว์ขั้นพื้นฐาน
- ธุรกิจอาหาร (Food) ได้แก่ การผลิตเนื้อสัตว์แปรรูปกึ่งปรุงสุกและปรุงสุก และการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปหรืออาหารพร้อมรับประทาน รวมถึงกิจการค้าปลีกอาหารและร้านอาหาร
โดยแบ่งออกเป็นกิจการในไทย 36% ขณะที่กิจการในต่างประเทศอยู่ที่ 64% เวียดนาม 21% จีน 6% ประเทศอื่น ๆ อีก 37% เช่น ไต้หวัน รัสเซีย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ อินเดีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย กัมพูชา ตุรกี ลาว โปแลนด์ เบลเยี่ยม ศรีลังกา เป็นต้น และมีฐานการผลิตใน 17 ประเทศทั่วโลก และเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และอาหารไปกว่า 40 ประเทศ ครอบคลุม 5 ทวีปทั่วโลก
นอกจากนี้ CPF ยังได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนระดับโลกเช่น FTSE4Good MSCIESG และ Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่ามาตรฐานการพัฒนาด้านความยั่งยืนของบริษัทฯ เทียบเท่ามาตรฐานระดับโลกและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
- ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร
- CPF มีมูลค่ากิจการ 157,333.73 ล้านบาท
- P/E - เท่า
- P/BV 0.65 เท่า
- ราคา 52 สัปดาห์สูงสุด/ต่ำสุด 23.10 / 17.00 บาท
- อัตราเงินปันผลตั้งแต่ต้นปี 4.08%
2.บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU
TU ผลิตและส่งออกอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งและบรรจุกระป๋อง และขยายธุรกิจให้ครบวงจรด้วยธุรกิจอาหารสำเร็จรูปและอาหารว่าง โดยเน้นอาหารทะเล ธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสิ่งพิมพ์ ธุรกิจการตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ เเป็นหนึ่งในบริษัทอาหารรทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นเจ้าของแบรนด์อาหารทะเลชั้นนำต่างๆ
โดยมียอดขายหลักที่ประเทศ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สหรัฐ นอร์เวย์ ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ และประเทศอื่น ๆ
โดยกำไรสุทธิในไตรมาส 4/66 อยู่ที่ 1,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.1% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 0.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีการฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีสาเหตุจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 68 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 468 ล้านบาทในไตรมาส 4/65 ซึ่งถูกชดเชยบางส่วนด้วยต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น และผลกระทบจาก i-Tail Dilutio จำนวน 95 ล้านบาท โดยอัตราส่วนกำไรสุทธิ (NPM) อยู่ที่ 3.5%
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 4/66 กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เยือกแข็ง มียอดขายอยู่ที่ 12,525 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 8.0% ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 14.4% เป็นผลจากกลยุทธ์การบริหารจัดการขนาดองค์กรที่ประเทศสหรัฐฯ และการบริหารจัดการระบบสินค้าคงคลังที่ดีขึ้น
ขณะที่กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง มีอัตราเติบโต 22.5% เนื่องจากการฟื้นตัวของคำสั่งซื้อจากกลุ่มลูกค้าหลัก และระดับสินค้าคงคลังที่กลับสู่ภาวะปกติ รวมถึงการนำกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นตลาดเฉพาะกลุ่มประเภทอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียกและขนมสำหรับสัตว์เลี้ยง โดยในไตรมาส 4 ไทยยูเนี่ยนยังมีกระแสเงินสดอิสระเป็นบวก มูลค่าถึง 2,842 ล้านบาท มาจากความสามารถในการทำกำไร (EBITDA) ที่แข็งแกร่ง ประกอบการมีการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพ
- ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- TU มีมูลค่ากิจการ 69,826.99 ล้านบาท
- P/E - เท่า
- P/BV 1.14 เท่า
- ราคา 52 สัปดาห์สูงสุด/ต่ำสุด 16.30 / 12.40 บาท
- อัตราเงินปันผลตั้งแต่ต้นปี 3.60%
3.บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE
SAPPE ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงาม โดยแบ่งเป็น 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ภายใต้ 24 ตราสินค้าทั้งในและต่างประเทศ
- ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงาม ได้แก่ เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ และ เครื่องดื่มน้ำผสมวิตามินบลู
- ผลิตภัณฑ์ประเภทผงพร้อมชงเพื่อสุขภาพและความงาม ได้แก่ เพรียว คอฟฟี่, เพรียว คลอโรฟิลล์, สลิมฟิต คอฟฟี่ และ กาแฟ แม็กซ์ทีฟ
- ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องดื่มน้ำผลไม้ (มีและไม่มีชิ้นเนื้อ)ได้แก่ โมกุ โมกุ, เซ็ปเป้ อโล เวร่า, น้ำมะพร้าวน้ำหอม ออลโคโค และ กุมิ กุมิ by โมกุ โมกุ
- ผลิตภัณฑ์ขนมเพื่อสุขภาพ ได้แก่ เซ็ปเป้ บิวติ เยลลี่, ซีแมกซ์, แม็กซ์ทีฟ เยลลี่, โมกุ โมกุ เยลลี่, กุมิ กุมิ เยลลี่, เพรียว พุดดิ้ง, ออลโคโค พุดดิ้ง, ลูกอมครูเพ็ญศรี, ลูกอมลิมิตเลส
- ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและอื่นๆ ได้แก่ เซ็ปเป้ อินโน ซายน์, เซ็ปเป้ x ตะขาบ, รูบี้ เลดี้, เครื่องหอมสมุนไพร สูดสุด, คีฟ ชาสมุนไพรใบกัญชง
ทั้งนี้ สััดส่วนในประเทศ 23% ต่างประเทศ 77% จากการบุุกตลาดใน 98 ประเทศ ส่งมอบสิินค้าคุุณภาพซึ่งเป็็นผลผลิิตจากเกษตรกรไทย ภายใต้แบรนด์ โมกุุ โมกุุ, ออล โคโค่, เซ็ปเป้ อโลเวร่า และสามารถทำ ผลงานโดดเด่นในหลายประเทศอย่าง เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ทวีปยุโรป และตะวันออกกลาง เป็นต้น โดยเฉพาะในเกาหลีใต้ ที่แบรนด์โมกุ โมกุ (Mogu Mogu) โดยเซ็ปเป้ประกาศแผน 5 ปี เดิินทางสร้างการเติบโตทั้งในและต่างประเทศ แบบก้าวกระโดด นอกจากความแข็งแกร่งของ Business Partners คุุณภาพ ที่่เซ็็ปเป้มีีอยู่ทั่วโลกแล้ว
- ปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- SAPPE มีมูลค่ากิจการ 25,587.99 ล้านบาท
- P/E 24.13 เท่า
- P/BV 7.01 เท่า
- ราคา 52 สัปดาห์สูงสุด/ต่ำสุด 100.00 / 37.00 บาท
- อัตราเงินปันผลตั้งแต่ต้นปี 1.99%
4.บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN
TKN ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายขนมขบเคี้ยวประเภทสาหร่ายทั้งในและต่างประเทศภายใต้ตราสินค้า "เถ้าแก่น้อย" รวมถึงขนมขบเคี้ยวและผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ โดยมียอดขายในต่างประเทศ อาทิ จีีน สหรััฐอเมริิกา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนิเซีย และกลุ่มประเทศ CLMV กัมพููชา, ลาว, เมียนมาร์, เวียดนาม เป็นต้น ขณะเดียวกัน บริษัทมีตัวแทนผู้จัดจำหน่ายในประเทศจีน
โดยในปีนี้ตั้งเป้าจะเติบโตประมาณ 15% จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับจะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น สาหร่ายรสชาติใหม่หรือสาหร่ายประเภทอื่นๆมากขึ้น รวมถึงมีแผนจะขยายตลาดในประเทศใหม่ ๆ แถบยุโรป อาทิ อังกฤษ,เนเธอร์แลนด์ และเยอรมนี จากเดิมที่โฟกัสในประเทศจีน , สหรัฐ , อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งคาดหวังว่าจะช่วยผลักดันให้ยอดขายของบริษัทเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ด้านงบลงทุนคาดว่า เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนที่เฉลี่ยอยู่ระดับ 100 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีแผนจะขยายกำลังการผลิตในเรื่องของเครื่องจักร และปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการขนส่งและด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาโรงงาน และการเปลี่ยนมาใช้รถขนส่งที่ใช้พลังงานไฟฟ้ารวมถึงพัฒนาระบบไอทีมากขึ้น
ทั้งนี้ ช่วงระยะเวลา 3-5 ปีีข้างหน้ามีีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Non-Seaweed ให้มากขึ้น โดยแบ่งเป็น
1.กลุ่มขนม Extrude ขนมขึ้นรููปทำจากแป้งประเภทต่าง ๆ
2.กลุ่ม เครื่องดื่มเพื่อสุุขภาพ Functional Drink
3.กลุ่มเครื่องดื่มให้พลังงานที่เน้นประโยชน์ Functional Energy Drink
4.กลุ่มเครื่องดื่มอื่น
- อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- TKN มีมูลค่ากิจการ 14,214.00 ล้านบาท
- P/E 20.39 เท่า
- P/BV 6.45 เท่า
- ราคา 52 สัปดาห์สูงสุด/ต่ำสุด 14.40 / 8.65 บาท
- อัตราเงินปันผลตั้งแต่ต้นปี 2.82%
5.บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO
COCOCO ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวและผลไม้ เช่น กะทิบรรจุกระป๋อง, กะทิบรรจุกล่องยูเอชที (UHT), กะทิพาสเจอไรซ์น้ำมะพร้าวบรรจุกระป๋อง, น้ำมะพร้าวกล่องยูเอชที (UHT), น้ำมะพร้าวพาสเจอไรซ์, ขนมมะพร้าว และอาหารสำเร็จรูป ภายใต้ตราสินค้า Thai Coco และ Cocoburi รวมถึงผลิตสินค้าเพื่อการอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ยังประกอบธุรกิจผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก เพื่อสุขภาพสำหรับสุนัขและแมวภายใต้ตราสินค้า Moochie โดยสินค้าทั้งสองประเภทมีทั้งแบบการจำหน่ายภายใต้ตราสินค้าของบริษัทเองและการรับจ้างผลิตสินค้า ซึ่งจัดจำหน่ายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้บริษัทยังผลิตและจำหน่ายอาหารเพื่อสุขภาพจากโปรตีนพืช รวมถึงผลิตภัณฑ์ชีสและเนยประเภทต่างๆ ที่ทำจากพืชอีกด้วย
บริษัทฯ มีกำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 539.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75.98% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้ามีกำไรสุทธิอยู่ที่ 306.67 ล้านบาท โดยการเติบโตเป็นผลจากรายได้จากการขายของบริษัทเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ สามารถขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากการจำหน่ายสินค้าประเภทน้ำมะพร้าวไปยังประเทศจีนได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน
โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 4,679.74 ล้านบาท เติบโต 38.17% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้ามีรายได้อยู่ที่ 3,386.99 ล้านบาท เนื่องจากเป็นการเติบโตของยอดขายต่างประเทศทั้งในภูมิภาคเอเชียและภูมิภาคอื่นๆ โดยเฉพาะรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำมะพร้าวที่ขายไปยังประเทศจีนเพิ่มขึ้น และรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการที่บริษัทฯ สามารถขยายช่องทางการตลาดไปยังต่างประเทศเป็นหลัก
ทั้งนี้ สินค้าของบริษัทฯ ที่ได้รับความนิยมที่สุดในตลาดต่างประเทศ คือ ผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำมะพร้าว ซึ่งในปี 2566 บริษัทฯ มีสัดส่วนการส่งออกคิดเป็น 85.82% ของรายได้จากการขาย ซึ่งหากเปรียบการเติบโตของยอดขายในปี 2566 กับปีก่อนหน้า ในแต่ละภูมิภาคจะพบว่า ยอดขายจากเอเชียเพิ่มขึ้น 131.42% ยอดขายจากตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น 51.28% และยอดขายจากแอฟริกามีการเติบโตสูงขึ้น 8.82%
- ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- COCOCO มีมูลค่ากิจการ 12,421.50 ล้านบาท
- P/E 28.78 เท่า
- P/BV 3.59 เท่า
- ราคา 52 สัปดาห์สูงสุด/ต่ำสุด 10.60 / 6.95 บาท
- อัตราเงินปันผลตั้งแต่ต้นปี -%
6.บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO
XO ประกอบธุรกิจเป็นผู้ผลิตและจำหน่าย
- ผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสอาหาร เช่น ซอสพริก น้ำจิ้มไก่ และซอสต่างๆ
- ผลิตภัณฑ์เครื่องประกอบอาหาร เช่น กะทิและเครื่องแกงต่าง ๆ
- ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน เช่น ข้าวแกงเขียวหวานและก๋วยเตี๋ยวผัดไทย และ
- ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูปต่าง ๆ เช่น สินค้าในน้ำมันและน้ำเกลือ, ผักและผลไม้กระป๋อง, ผลิตภัณฑ์จากข้าว, ของแห้งและของดองต่างๆ โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทถูกจัดจำหน่ายภายใต้ตราสินค้าของบริษัท เช่น EXOTIC FOOD, THAI PRIDE และ FLYING GOOSE
โดยในปีนี้ตั้งเป้ายอดขาย 20% จากปีก่อน พร้อมเดินหน้าขยายตลาดซอสส่งออกในทวีปยุโรปซึ่งเป็นตลาดหลัก ขณะที่ในสหรัฐ มีการขยายช่องทางการจำหน่ายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งการบุกประเทศที่เป็นโอกาสต่อเนื่อง ซึ่งบริิษััทมีีสิินค้ากว่า 700 SKU ที่ส่งขายไปยัังประเทศต่างๆ กว่า 60 ประเทศทั่วโลก ทั้งในกลุ่มประเทศทวีปยุโรป กลุ่มประเทศในทวีปออสเตรเลีย และกลุ่มประเทศในทวีปอื่น ๆ ภายใต้ตราสินค้า EXOTIC FOOD THAI PRIDE FLYING GOOSE และ อื่นๆ ของบริิษััท
ปัจจุบัน XO มีแผนการเพิ่มไลน์การผลิตใหม่ 1 ไลน์ ที่โรงงานเดิม ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ระยอง คาดว่าจะแล้วเสร็จช่วงปลายปีนี้ ซึ่งทำให้สามารถรับออเดอร์และวางแผนได้ โดยเครื่องจักรใหม่สามารถรองรับยอดขายกว่า 1,000 ล้านบาท จากการผลิตกะเดียวโดยไม่ใช้โอที และมีการขอ BOI สำหรับไลน์ดังกล่าวด้วย ขณะที่แผนสร้างโรงงานใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ แหลมฉบัง คาดเริ่มดำเนินการก่อสร้างในช่วงกลางปี 67 แล้วเสร็จปลายปี 68
ด้านผลการดำเนินงานงวดประจำปี 66 บริษัท มีกำไรสุทธิ 785.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 130.79% จากปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 340.16 ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของยอดขาย และอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น โดยสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อจากลูกค้า ทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 2,521.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,066.43 ล้านบาท หรือคิดเป็น 73.31% สาเหตุหลักเนื่องจากการขยายตลาดในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกา โดยในช่วงสิ้นปี 66 สินค้าของบริษัท ได้วางจำหน่ายในร้านค้าปลีกสมัยใหม่ในสหรัฐแล้วกว่า 1,500 สาขา จากเดิมช่องทางกระจายสินค้าอยู่ในตลาดดั้งเดิม หรือ Traditional Trade
- จิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ
- XO มีมูลค่ากิจการ 10,670.31 ล้านบาท
- P/E 13.59 เท่า
- P/BV 6.78 เท่า
- ราคา 52 สัปดาห์สูงสุด/ต่ำสุด 36.25 / 11.50 บาท
- อัตราเงินปันผลตั้งแต่ต้นปี 1.59%