‘ณุศา’ดันพลังงานรายได้หลัก ปี 66 รับรู้กำไรถือหุ้นวินด์ 120 ล้านบาท
'ประเดช'สั่งห้ามแตะหุ้นวินด์ -‘เทพเจริญ’ยอมถอยแลกขายสินทรัพย์ยันบอร์ดเห็นชอบมีราคากลางจากผู้ประเมิน และบริษัทต้องการสภาพคล่องเพื่อเทิร์น อะราวด์ ตามแผนปี 67 พร้อมผู้ถือหุ้นใหญ่ยื่นนโยบายดันพลังงานขึ้นแท่นอันดับ 1 ลดธุรกิจอสังฯ
ผลการประชุมผู้ถือหุ้นปี 2566 บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) หรือ NUSA ที่ผ่านมา (29 ก.พ.) ผิดไปจากความคาดหมายโดยเฉพาะวาระสำคัญถอดถอนกรรมการบริษัท 3 ราย ประกอบไปด้วย นายวิษณุ เทพเจริญ นางศิริญา เทพเจริญ และ นายสมพิจิตร ชัยชนะจารักษ์
วาระดังกล่าวจะต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของผู้ถือหุ้นที่เข้าร่วมประชุม ปรากฎคะแนนเสียงไม่ถึงและไม่ได้รับการอนุมัติ ท่ามกลางปมความขัดแย้งของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ มีนายประเดช กิตติสรานนท์ กับ นายวิษณุ ซึ่งเป็นกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เกิดการฟ้องร้องหลังนำสินทรัพย์มาขาย
โดยเฉพาะเงินลงทุนใน บริษัทพลังงานรายใหญ่ “บริษัทวิน เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด” หรือ WEH จำนวน 7.7 ล้านหุ้น มีมูลค่าทางบัญชีที่ 3,373 ล้านบาท จนทำให้ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีวาระอนุมัติจำหน่ายหุ้นวินด์ต้องผ่านการพิจารณาจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นไม่ว่าขนาดรายการจะถึงเกณฑ์หรือไม่
นางศิริญา เทพเจริญ กรรมการ และ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ “ สถานการณ์ของ NUSA ในขณะนี้อยู่ระหว่างการขายสินทรัพย์เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ซึ่งมีความจำเป็นเพราะไม่ได้ดำเนินธุรกิจเลยมีแต่สินทรัพย์และทางผู้ถือหุ้นใหญ่มีนโยบายมาแล้วว่าต้องการผลัดดันรายได้พลังงานขึ้นมาเป็นธุรกิจหลัก และลดสัดส่วนรายได้อสังหาริมทรัพย์ จึงทำให้บอร์ดมีมติขายสินทรัพย์ดังกล่าวกลับมีประเด็นขัดแย้งเพราะไปเกี่ยวข้องกับหุ้นวินด์
ฝั่งของตนพร้อมที่ส่งมอบงานให้อีกฝั่งไปดำเนินการและบริหารงาน แต่ต้องเคลีย์รายการที่ดำเนินการแล้วและผ่านมติบอร์ดที่ได้เห็นชอบด้วยกันหมด ส่วนข้อกล่าวหาว่ามีการนำสินทรัพย์ขายให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับตนเองเป็นการกลั่นแกล้งและใส่ร้าย เพราะฝั่งนายประเดชรับทราบ มีราคาขายเป็นราคากลาง มีที่ปรึกษา 2 รายในการประเมิน และขายออกไปทาง NUSA ยังถือลงทุน 50 % หากทำกำไรได้บริษัทยังได้รับผลประโยชน์
“รายการขายที่ดินเปล่าผู้ที่สนใจซื้อเกี่ยวข้องกับตนก็ต้องขายในราคาเดิม ที่มีราคากลางและประเมินมาแล้วจะมาเล่นแง่แล้วเพิ่มราคาขึ้นหรือหากเกี่ยวข้องกับตน ที่สำคัญมีผลต่อบริษัทที่จำเป็นต้องขายสินทรัพย์ออกไปเพราะต้นทุนที่หนักที่สุดคือดอกเบี้ย ”
ทั้งนี้หากสามารถขายสินทรัพย์ 2-3 รายการบวกกับรายได้ฝั่งธุรกิจการแพทย์ ทำให้แผนปี 2567 บริษัทสามารถกลับมามี ผลประกอบการเทิร์น อะราวด์ แต่หากไม่สามารถขายสินทรัพย์ได้จะเป็นแค่ลดขาดทุน เพราะธุรกิจการแพทย์รายได้เติบโตหลังจากเปิดให้บริการ โรงพยาบาล พานาซี ไปแล้วมีรายได้เพิ่มมีนัยสำคัญปี2566 ที่ 200 กว่าล้านบาทคาดว่าปีนี้ที่ 600 ล้านบาทเพราะจะเปิดบริการเต็มรูปแบบด้วยการเปิดตึกใหม่เดือน เม.ย. นี้เพื่อเชื่อมส่งต่อคนไข้จากเยอรมัน
จากผลประกอบการปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 1,789 ล้านบาท จากปี 2565 รายได้ที่ 2,037 ล้านบาท แต่ยังขาดทุน 742 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 88 % จากปีก่อนขาดทุน 417 ล้านบาท บริษัทชี้แจงว่ารายได้อสังฯ เพิ่มขึ้น 7 % จากการขายยกแปลงของโครงการ 187 ล้านบาท มีกำไรจากมูลค่าลงทุนหุ้นวินด์ 120 ล้านบาท แต่รายได้จากการขายลดลง 87 % จากอุปกรณ์ antigen rapid test kit ลดลง