เปิด 7 เศรษฐีหุ้น แฟนตัวยง-สนับสนุน วงการฟุตบอล

ทุกวันนี้โลกของธุรกิจและกีฬาได้มาบรรจบกันอย่างลงตัว เพราะเหล่าบรรดาเศรษฐีตั้งแต่แสนล้าน หมื่นล้าน พันล้าน ร้อยล้าน หลายคนให้ความสนใจกับกีฬาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะฟุตบอล หนึ่งใน 3 กีฬายอดฮิตของคนไทย และนักธุรกิจชั้นนำเหล่านี้บางคนก็ได้ให้การสนับสนุนวงการฟุตบอลทั้งในประเทศ และต่างประเทศ หรือบางคนก็มีตำแหน่งแห่งหนในสมาคมกีฬาฟุตบอลอีกด้วยเช่นกัน 

ทั้งนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” เจาะโฟกัสลงไป เศรษฐีหุ้น หรือนักธุรกิจที่มีธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ รวมไปถึงการเข้าไปลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น พบว่า มีความเกี่ยวข้องกับวงการฟุตบอลในหลากหลายมิติรวมกัน 7 ราย  

 

7 เศรษฐีหุ้น แฟนตัวยง-สนับสนุน วงการฟุตบอล มีดังนี้

1.เจ้าสัว ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เจ้าของอาณาจักรเครือเจริญโภคภัณฑ์ ปี 2566 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 34,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.18 ล้านล้านบาท (มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของไทยจากการจัดอันดับมหาเศรษฐี นิตยสาร Forbes ฟอร์บส ปี 2566)

โดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เป็นผู้สนับสนุนให้กับสโมสรฟุตบอล ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด (True Bangkok United) เพื่อเป็นการส่งเสริมและสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กและเยาวชนไทยทำให้ได้เห็นต้นแบบที่ดีในการประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ 

สำหรับหุ้นในกลุ่ม CP ประกอบไปด้วย 

1.บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF มูลค่ากิจการ 148,078.81 ล้านบาท  P/E -เท่า ราคาปิด 18.00 บาท 

2.บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL มูลค่ากิจการ 494,070.57 ล้านบาท P/E 26.73 เท่า ราคาปิด 55.50 บาท 

3.บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE มูลค่ากิจการ 276,416.81 ล้านบาท P/E - เท่า ราคาปิด 7.85 บาท 

4.บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT มูลค่ากิจการ 330,635.11 ล้านบาท P/E 38.27 เท่า ราคาปิด 31.25 บาท 

 

2.เจริญ สิริวัฒนภักดี อาณาจักร “ไทยเบฟ” ผู้ผลิตเครื่องดื่มตรา “ช้าง” ปี 2566 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1.36 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 4.73 แสนล้านบาท (มหาเศรษฐีอันดับ 3 ของไทยจากการจัดอันดับมหาเศรษฐี นิตยสาร Forbes ฟอร์บส ปี 2566)

เครื่องดื่มตรา “ช้าง” ให้การสนับสนุน สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ทีมชาติไทย มาอย่างยาวนานและยังเล็งเห็นถึงความสำคัญให้แก่เยาวชนที่มีความฝันได้ไปถึงเป้าหมายในกีฬาชนิดต่าง ๆ ผ่านโครงการ “ไทยเบฟ ไทยทาเล้นท์” ตั้งแต่ปี 2003 จนถึงปัจจุบัน

สำหรับหุ้นในกลุ่มไทยเบฟ ประกอบไปด้วย 

1.บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC มูลค่ากิจการ 140,181.73 ล้านบาท P/E  27.83 เท่า ราคาปิด 4.44 บาท 

2.บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC มูลค่ากิจการ 98,591.80 ล้านบาท P/E 20.56  เท่า ราคาปิด 25.00 บาท 

 3.บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย)) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT มูลค่ากิจการ 34,325.31 ล้านบาท P/E 18.52 เท่า ราคาปิด 15.20 บาท 

4.บริษัท ไทยกรุ๊ป  โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TGH มูลค่ากิจการ 12,183.98 ล้านบาท P/E 220.21 เท่า ราคาปิด 15.70 บาท 

 5.บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) หรือ SSC มูลค่ากิจการ 9,240.04 ล้านบาท P/E 34.53 เท่า ราคาปิด 35.00 บาท 

 6.บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ AMARIN มูลค่ากิจการ  4,991.41 ล้านบาท P/E 17.18 เท่า ราคาปิด 4.98 บาท 

7.บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV มูลค่ากิจการ 3,900.33 ล้านบาท P/E 10.63 เท่า ราคาปิด 2.06 บาท 

 8.บริษัท อินทรประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ INSURE มูลค่ากิจการ 1,130.00 ล้านบาท P/E 5.79  เท่า ราคาปิด บาท 

 

3.สารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1.13 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 3.94 แสนล้านบาท (มหาเศรษฐีอันดับ 5 ของไทยจากการจัดอันดับมหาเศรษฐี นิตยสาร Forbes ฟอร์บส ปี 2566)

โดยในปี 2563 GULF ได้สนับสนุนทีมฟุตบอลไทยและจัดกิจกรรมฟุตบอลคลินิกในชุมชนที่กัลฟ์เข้าไปดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง กลุ่มบริษัทกัลฟ์เล็งเห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเยาวชนที่มีใจรักด้านกีฬา และเพื่อเป็นการสร้างเเรงบันดาลใจเเละเปิดโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ได้ทำตามความฝัน ผ่านโครงการ Gulf Football Camp: ชาร์จพลังปลุกฝันนักเตะเยาวชนต่อไปตามเเผนการที่วางไว้ ซึ่งจะร่วมกันส่งนักเตะเยาวชนที่มีความมุ่งมั่นและมีความสามารถรอบด้านไปฝึกฝนทักษะฟุตบอลที่ประเทศเยอรมนี เพื่อให้ได้สัมผัสประสบการณ์กีฬาในระดับมืออาชีพกับทีมระดับโลกอย่างใกล้ชิด

สำหรับหุ้นในกลุ่มกัลฟ์ ประกอบไปด้วย 

1.บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF มูลค่ากิจการ 492,792.30 ล้านบาท P/E 33.17 เท่า ราคาปิด 40.75 บาท 

2.บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC มูลค่ากิจการ 593,354.84 ล้านบาท P/E 20.40 เท่า ราคาปิด 197.00 บาท 

3.บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH มูลค่ากิจการ 214,848.07 ล้านบาท P/E 16.35 เท่า ราคาปิด 66.75 บาท 

4.บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM มูลค่ากิจการ 15,345.43 ล้านบาท P/E 43.39 เท่า ราคาปิด 13.50 บาท 

 

4.อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา หรือ ต๊อบ อัยยวัฒน์ ประธานสโมสรฟุตบอล เลสเตอร์ซิตี ในประเทศอังกฤษ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 3.5 พันล้านเหรียญ หรือ 1.22 แสนล้านบาท (มหาเศรษฐีอันดับ 8 ของไทยจากการจัดอันดับมหาเศรษฐี นิตยสาร Forbes ฟอร์บส ปี 2566)

ปัจจุบันพบถือหุ้น 5 หลักทรัพย์ คือ

• บริษัท ซีเฟรชอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ CFRESH ถือหุ้นใหญ่ลำดับ 6 จำนวน 19,637,700 หุ้น หรือ 2.12% ราคาปิดที่ 1.64 บาท
• บริษัท ศักดิ์สยามลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SAK ถือหุ้นใหญ่ลำดับ 9 จำนวน 12,000,000 หุ้น หรือ 0.57% ราคาปิดที่ 4.92 บาท
• บริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ WP ถือหุ้นใหญ่ลำดับ 2 จำนวน 84,998,404 หุ้น หรือ 16.39% ราคาปิดที่ 4.22 บาท
• บริษัท เซเว่น ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ 7UP ถือหุ้นใหญ่ลำดับ 4 จำนวน 250,000,000 หุ้น หรือ 4.86% ราคาปิดที่ 0.35 บาท
• บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JR ถือหุ้นใหญ่ลำดับ 17 จำนวน 4,000,000 หุ้น หรือ 4.86% ราคาปิดที่ 0.53 บาท

5.สันติ ภิรมย์ภักดี อาณาจักร “สิงห์คอร์เปอเรชั่น” มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2 พันล้านเหรียญ หรือ 7.04 หมื่นล้านบาท (มหาเศรษฐีอันดับ 15 ของไทยจากการจัดอันดับมหาเศรษฐี นิตยสาร Forbes ฟอร์บส ปี 2566)

ผู้สนับสนุนหลักทีมสโมสรฟุตบอล เชลซี อย่างเป็นทางการมาตลอด 9 ปี และในปัจจุบัน ‘สิงห์คอร์เปอเรชั่น’ ยังคงเป็น Partnership ที่ยาวนานที่สุดของ ทีมฟุตบอลเชลซี โดยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมานอกจากทีมฟุตบอลเชลซีแล้ว ‘สิงห์คอร์เปอเรชั่น’ ยังเคยเป็นผู้สนับสนุนทีมฟุตบอล ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ และ ‘เลสเตอร์ซิตี้’ อีกด้วย

โดยหุ้นในกลุ่ม สิงห์คอร์เปอเรชั่น ประกอบด้วย 

1.บมจ. เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท หรือ SHR มูลค่ากิจการ 8,840.35 ล้านบาท P/E 102.31 เท่า ราคาปิด 2.40 บาท 

2.บมจ.สิงห์ เอสเตท หรือ S มูลค่ากิจการ 5,757.12 ล้านบาท P/E 27.33 เท่า ราคาปิด 0.83 บาท

3.บมจ. บางกอกกล๊าส หรือ BGC มูลค่ากิจการ 4,930.55 ล้านบาท P/E 15.20 เท่า ราคาปิด 7.10 บาท

4.ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท หรือ SPRIME มูลค่ากิจการ 1,956.77ล้านบาท P/E -เท่า ราคาปิด 4.34 บาท

6.เสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1.5 พันล้านเหรียญ หรือ 5.28 หมื่นล้านบาท (มหาเศรษฐีอันดับ 24 ของไทยจากการจัดอันดับมหาเศรษฐี นิตยสาร Forbes ฟอร์บส ปี 2566)

เครื่องดื่มคาราบาว ได้เป็น ‘First partner’ กับ สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (EFL)  และได้ทำการเปลี่ยนชื่อของการแข่งขันจาก ลีพคัพ เป็น คาราบาวคัพ อย่างเป็นทางการตั้งแต่ฤดูกาลที่ 2017 จนถึงปัจจุบัน ล่าสุด บริษัทย่อย ‘คาราบาวตะวันแดง’ บรรลุข้อตกลงกับ English Football League Limited ทุ่มเงิน 800 ล้านบาท (18 ล้านปอนด์) ต่อสัญญาเป็นสปอนเซอร์การแข่งขันฟุตบอลรายการคาราบาวคัพอีก 3 ปี คือ ฤดูกาลการแข่งขันปี 2024/25, 2025/26 และ 2026/27 ซึ่งรวมอายุการสนับสนุนทั้งสิ้น 10 ฤดูกาลนับตั้งแต่ฤดู 2017/18 เป็นต้นมา

โดยมีบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย คือ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) CBG มีมูลค่ากิจการ 62,250.00 ล้านบาท P/E 32.35 เท่า ราคาปิด 62.75 บาท 

7.นวลพรรณ ล่ำซำ หรือ มาดามแป้ง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ คนที่ 18 เป็น นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ผู้หญิง คนแรก ของประเทศไทย นับตั้งแต่ก่อตั้งสมาคมฯ มา 108 ปี และ ยังเป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ผู้หญิง คนแรกในประวัติศาสตร์ ของชาติสมาชิกในทวีปเอเชีย พร้อมกันนี้ ยังเป็น นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ผู้หญิง คนที่ 7 ของโลก ในปัจจุบัน ร่วมกับ เด็บบี้ ฮีวิตต์ (อังกฤษ) , ซินดี้ บาร์โลว์ โคน (สหรัฐฯ) , ลีซ คลีฟเนสส์ (นอร์เวย์) , โซเนีย บิอัน ไอม์ (หมู่เกาะเติก และ ไคคอส) ,  ปาสคาล ฟาน ดาม (เบลเบียม) และ อันย่า เจมส์ (บาฮามาส)

นอกจากนี้ยังเป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) MTI มูลค่ากิจการ 6,431.00 ล้านบาท P/E 9.81 เท่า ราคาปิด 108.00 บาท และถือหุ้นใหญ่ ลำดับ 3 จำนวน 4,812,815 หุ้น หรือ 8.16%

โดย บมจ.เมืองไทยประกันภัย ได้ให้การสนับสนุนกีฬาฟุตบอลไทยมาโดยตลอด โดยเฉพาะให้การการสนับสนุนฟุตบอลทีมชาติไทย ทุกชุด ทุกรุ่นอายุ ทั้งทีมฟุตบอลชายและหญิง

ขณะที่ในอดีต ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2007 เคยเป็นเจ้าของสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยการเข้าซื้อในวงเงิน 81.6 ล้านปอนด์  และสร้างความฮือฮาด้วยการนำ สเวน โกรัน อีริคส์สัน เข้ามาเป็นกุนซือ และไม่นานช่วงเดือนกันยายน ปี 2008 ได้ขายให้ อาบู ดาบี ยูไนเต็ด กรุ๊ป กลุ่มทุนจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ด้วยเงิน 200 ล้านปอนด์