PTTGC งบ Q1/67 พลิกเป็นลบ 606 ล้านบาท ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน - อนุพันธ์การเงิน
บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) งบ Q1/67 ขาดทุน 606 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนกำไร 82 ล้านบาท โดยขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน และตราสารอนุพันธ์การเงินกดดัน ขณะที่มีรายได้ 155,187 ล้านบาท โต 5% จาก Q1/66 ราคาผลิตภัณฑ์ปรับเพิ่มขึ้น พร้อมประมาณการลงทุน 5 ปี 814 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ผลการดำเนินงานงบการเงินรวมไตรมาสที่ 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.67 ขาดทุนส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ 606.09 ล้านบาท (ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.13 บาท) ลดลงจากไตรมาสที่ 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.66 ซึ่งทำได้ 82.44 ล้านบาท (กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.02 บาท)
คําอธิบาย และการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ PTTGC ระบุในสาระสำคัญว่าในไตรมาส 1/2567 บริษัท มีรายได้จากการขายรวม 155,187 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 4 จากไตรมาส 4/2566 จากราคาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นลดลงเป็นหลัก และปริมาณการขายของโรงกลั่นที่ลดลงจากผลิตภัณฑ์ดีเซลที่ปรับลดลงตามอุปสงค์ที่ลดลงตามฤดูกาลหลังจากฤดูหนาวเป็นหลัก แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จากราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดในกลุ่มธุรกิจโรงกลั่น ธุรกิจฟีนอล ธุรกิจพอลิเมอร์ เป็นหลัก
สำหรับไตรมาส 1/2567 บริษัท รายงาน Adjusted EBITDA อยู่ที่ 11,054 ล้านบาท ปรับลดลงร้อยละ 2 จากไตรมาส 4/2566 โดย Adjusted EBITDA ในไตรมาส 4/2566 มีการรับรู้กำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ 1,422 ล้านบาท
ดังนั้นเมื่อพิจารณาเฉพาะผลจากการดำเนินงานแล้วมีทิศทางปรับตัวดีขึ้น โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจอะโรเมติกส์และโอเลฟินส์ และปริมาณการขายที่ปรับเพิ่มขึ้นของบริษัท allnex โดยธุรกิจโรงกลั่นมีส่วนต่างผลิตภัณฑ์ในระดับสูงแต่ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากการอ่อนตัวลงของอุปสงค์ผลิตภัณฑ์ดีเซลภายหลังจากที่ผ่านช่วงฤดูหนาว
รวมทั้งสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบที่มีความผันผวนในช่วงไตรมาส 1/2567 จากเหตุการณ์ความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งค่าการกลั่นเฉลี่ยของไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 8.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
บริษัทดำเนินตามนโยบายผลิตน้ำมันดีเซลให้เป็นไปตาม "มาตรฐานยูโร 5" หรือมาตรฐานการระบายมลพิษทางอากาศจากรถยนต์ (Euro Emissions Standards) ระดับ 5 ซึ่งเริ่ม ประกาศบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค.2567 ในขณะที่ธุรกิจอะโรเมติกส์ปรับตัวดีขึ้นจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์พาราไซลีน และเบนซีนเป็นหลัก
นอกจากนี้โรงงานโอเลฟินส์ และโรงงานพอลิเมอร์มีปริมาณการขายที่ปรับสูงขึ้นหลังจากการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนในไตรมาส 4/2566 เป็นหลัก ส่งผลให้ปริมาณการขายของผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ และเคมีภัณฑ์ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ในขณะที่เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของราคาเม็ดพลาสติกโพลิเอทีลีนเฉลี่ยในไตรมาสนี้
สำหรับผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษปรับเพิ่มขึ้นจากปริมาณการขายของบริษัท allnex หลังจากอุปสงค์ลดลงตามฤดูกาลของธุรกิจในช่วงวันหยุดยาวในไตรมาส 4 เป็นหลัก ทั้งนี้ธุรกิจปิโตรเคมีโดยรวมยังคงอยู่ในภาวะอ่อนตัว โดยได้รับความกดดันจากปัจจัยทั้งในด้านภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นมากนัก และอุปทานส่วนเกินที่มีในตลาดโดยเฉพาะอุปทานใหม่ในประเทศจีน
ไตรมาส 1/2567 บริษัท รายงานผลกำไรจากการดำเนินงานปกติ จำนวน 703 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่บริษัท มีขาดทุนจากการดำเนินการปกติจำนวน 1,949 ล้านบาท โดยบริษัท รับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติ/ควบคุมไม่ได้ ได้แก่
กำไรจากสต็อกน้ำมัน และรายการการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Gain Net NRV) รวม 359 ล้านบาท กำไรจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง 107 ล้านบาท ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน และตราสารอนุพันธ์ทางการเงินรวมเป็น 1,577 ล้านบาท บริษัท รับรู้ส่วนขาดทุนจากเงินลงทุนในไตรมาสนี้จำนวน 323 ล้านบาท จากผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมทุนในธุรกิจปิโตรเคมีส่วนใหญ่ยังคงไม่ฟื้นตัว
ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2567 บริษัท รายงานผลขาดทุนสุทธิรวม 606 ล้านบาท (-0.13 บาท/หุ้น)
ด้านประมาณการลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้าของกลุ่มบริษัทรวมราว 814 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แจกแจงได้เป็นดังนี้
แนวโน้มตลาดและธุรกิจในปี 2567 สถานการณ์เศรษฐกิจโลกโดยรวมมีแนวโน้มเติบโตลดลง และคาดสถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะค่อยๆ คลี่คลายอย่างช้าๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของนานาชาติ และจะทำให้ภาพรวมทางเศรษฐกิจเริ่มมีทิศทางดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
บริษัท คาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2567 อยู่ที่เฉลี่ย 82-87 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล บริษัท คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นในปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 101%, คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงอะโรเมติกส์ในปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 94 และคาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงโอเลฟินส์ในปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 92
กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลาง
แนวโน้มสถานการณ์ตลาดผลิตภัณฑ์ฟีนอลในปี 2567 บริษัท คาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ฟีนอล (P2F) จะอยู่ที่ 210-230 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อตัน ปรับตัวลดลงจากปี 2566 สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ตลาดของผลิตภัณฑ์โมโนเอทิลีนไกลคอล (MEG) บริษัท คาดว่าราคา MEG จะอยู่ที่ 530-550 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อตัน โดยมีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้น
กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ และเคมีภัณฑ์
แนวโน้มสถานการณ์ตลาดเม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีนในปี 2567 บริษัท คาดว่าราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติก HDPE จะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,050 - 1,080 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อตัน โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2566 บริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงโพลิเอทิลีนในปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 104
กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ
อย่างไรก็ตามคาดการเติบโตของความต้องการของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้จะยังคงสูงกว่าการเติบโตของ GDP โดยรวม ทั้งนี้ อัตราการฟื้นตัวของธุรกิจจะขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมปลายทาง ได้แก่ กลุ่มยานยนต์ เป็นต้น
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์