หุ้นอินวิเดีย ร่วงฉุด S&P500 ปิดลบ ดัชนีดาวโจนส์ บวก
ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดบวกในวันพฤหัสบดี (20 มิ.ย.) แต่ ดัชนี S&P500 และ ดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของ หุ้นอินวิเดีย (Nvidia)
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (ดัชนีดาวโจนส์) ปิดที่ 39,134.76 จุด เพิ่มขึ้น 299.90 จุด หรือ +0.77%
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,473.17 จุด ลดลง 13.86 จุด หรือ -0.25%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,721.59 จุด ลดลง 140.64 จุด หรือ -0.79%
ในช่วงแรก ดัชนี S&P500 พุ่งขึ้นแตะระดับ 5,500 จุดเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นระดับที่โบรกเกอร์หลายรายคาดการณ์ว่า ณ สิ้นปี 2567 ดัชนี S&P500 จะดีดตัวขึ้นแตะที่ระดับดังกล่าว แต่ดัชนีอ่อนแรงลงในเวลาต่อมาและปิดตลาดในแดนลบ
ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ปรับตัวลงมากที่สุดในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 โดยร่วงลง 1.6% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุด โดยพุ่งขึ้น 1.86%
หุ้นอินวิเดีย ปิดตลาดร่วงลง 3.54% หลังจากราคาหุ้นพุ่งขึ้นในช่วงแรก โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (18 มิ.ย.) มาร์เก็ตแคปของอินวิเดียทำสถิติแซงหน้าไมโครซอฟท์ขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก ขานรับอุปสงค์ชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หุ้นเดลล์ และ หุ้นซูเปอร์ ไมโคร คอมพิวเตอร์ ปรับตัวลง 0.42% และ 0.26% ตามลำดับ หลังจากราคาหุ้นพุ่งขึ้นในระหว่างวัน ขานรับข่าวที่ว่าทั้งสองบริษัทได้รับคำสั่งซื้อจากบริษัทสตาร์ตอัปด้าน AI ของนายอีลอน มัสก์
หุ้นโครเกอร์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 3.27% หลังจากบริษัทได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้จ่ายของผู้บริโภค นอกจากนี้ บริษัทได้คงตัวเลขคาดการณ์ยอดขายและกำไรในปีงบการเงิน 2567 ไว้ที่ระดับเดิม แม้ว่าผลประกอบการในไตรมาส 1 จะออกมาสูงเกินคาดก็ตาม
สหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการเมื่อคืนนี้ ซึ่งรวมถึงตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 5,000 ราย สู่ระดับ 238,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว แต่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 235,000 ราย ส่วนตัวเลขตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านในเดือนพ.ค.ของสหรัฐลดลง 5.5% สู่ระดับ 1.277 ล้านยูนิต ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.38 ล้านยูนิต
เกร็ก บาสซัค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท AXS Investments ในรัฐนิวยอร์กกล่าวว่า “ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอเกินคาดสะท้อนให้เห็นว่าการที่เฟดตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานเพื่อควบคุมเงินเฟ้อและสกัดความร้อนแรงของเศรษฐกิจนั้น กำลังจะบรรลุเป้าหมาย ข้อมูลเหล่านี้ส่งสัญญาณถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจและอาจทำให้เฟดเริ่มพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ย”
อย่างไรก็ดี นายนีล แคชแครี ประธานเฟดสาขามินนีแอโพลิสกล่าวว่า การที่เงินเฟ้อจะชะลอตัวลงสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% นั้นอาจจะต้องใช้เวลาอีก 1-2 ปี เนื่องจากการขยายตัวของค่าจ้างยังคงอยู่ในระดับสูงเกินไป ซึ่งการแสดงความเห็นดังกล่าวทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าเฟดอาจจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงต่อไปอีกเป็นเวลานานขึ้น
ล่าสุดเครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า ขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนักเพียง 57.9% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนก.ย. ซึ่งลดลงจากระดับ 61.1% ในสัปดาห์ที่แล้ว