TESG เม็ดเงินจ่อ 'ช้อปหุ้น' รับเวอร์ชั่นใหม่ 4 หมื่นล้าน
หน้าประวัติศาสาตร์ตลาดหุ้นไทยอีกครั้งเมื่อ “หน่วยงานหลักตลาดทุนจัดแถลงการณ์ใหญ่” ถึง “มาตรการฟื้นตลาดทุนไทย” ทั้งระยะสั้น กลาง และยาว 26 มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา
ทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง “พิชัย ชุณหวชิร” เลขาสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) “พรอนงค์ บุษราตระกูล” และ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) “ดร. ภากร ปีตธวัชชัย”
เมื่อตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงต่อเนื่องท่ามกลางตลาดหุ้นหลักโลกปรับตัวขึ้นแถมทำนิวไฮ จนดัชนีหุ้นไทยหลุด 1,300 จุด ต่างชาติเทขายหุ้นไทยหนักแสนล้านบาทและเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนในตลาดหุ้นไทยมากที่สุดตอนนี้ 50-55 % จนทำให้เกิด คำถามจากนักลงทุนในประเทศ ถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง “ทำไหมยอมให้สูญเสียเวลล์ “ ของนักลงทุนในประเทศอย่างหนักและต่อเนื่องได้ขนาดนี้
มาตรการตลาดทุนจึงเป็น ความคาดหวังพลิกแรงเทขายของต่างชาติผ่านกลไกป้องกันและป้องปราบ ซึ่งมาตรการป้องกันคือการส่งเสริมการลงทุนระยะยาวผ่าน “นักลงทุนสถาบันเพื่อมาบาลานซ์กับนักลงทุนต่างชาติ” จึงเป็นที่มาปรับเงื่อนไขกองทุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ ThaiESG เดิมลงทุนถือครอง 8 ปีและลดหย่อนภาษีสูงสุด 1 แสนบาทมาเป็นลงุทนถือครอง 5 ปี และขยายวงเงินการนำวงเงินลงทุนไปขอลดหย่อนภาษีเงินได้ เป็นสูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาท
รวมทั้ง ปรับเงื่อนไขลงทุนกองทุน ThaiESG จากเดิมที่เน้นเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่เข้ามาลงทุน พร้อมกับสร้างความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมทำให้ตัวเลือกของหุ้นที่สามารถลงทุน เพิ่มขึ้นอีกราว 200 ตัว จากเดิมที่มี 128 ตัว ซึ่งมีการเสนอครม. ภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้าออกมาใช้เพื่อให้มีผล 2567-2569
นอกจากนี้ระยะกลาง-ระยะยาว ศึกษารูปแบบกองทุนอื่น เช่น กองทุนวายุภักษ์ เข้ามาเป็นกลไกการออม การลงทุนให้กับประชาชนผ่านรูปแบบการลงทุนร่วมของภาครัฐ อาจจะมีการการจัดกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นเทรนด์ในอนาคต และการพัฒนา Exchange-Traded Fund (ETF) รวมทั้งบัญชีส่วนบุคคลเพื่อการลงทุนระยะยาว (Individual Saving Account) ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นต้น
เสียงตอบรับโทนบวกทันทีสำหรับตลาดหุ้นไทย และยังทำให้หุ้นบิ๊กแคป - ธุรกิจดี ได้รับผลกระทบน้อยจากภาวะตลาดหุ้นขาลงแต่ราคาหุ้นกลับลงลึกสามารถเพิ่มแรงซื้อให้ราคาหุ้นกลับมาที่พื้นฐานได้
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) คาดการณ์กลุ่มหุ้นที่ได้รับเม็ดเงินการลงทุนจากปัจจัยดังกล่าว หลังกระทรวงการคลังเตรียมเสนอ ครม.ภายใน 2 สัปดาห์ซึ่งถือว่าเป็นบวกต่อมาตรการ TESG ใหม่นี้ โดยเฉพาะประเด็นการลดระยะเวลาการถือครองที่สั้นลง คาดเม็ดเงินเข้ากองTESG ใหม่อยู่ในช่วง 3-4 หมื่นล้านบาทเทียบกับ LTF ที่ซื้อในช่วง 4.5-7.7 หมื่นล้านบาท เนื่องจากการซื้อสุทธิสูงสุดของ TESG ใหม่ที่ 3 แสนบาท ต่ากว่า LTF ที่ 5 แสนบาท
อย่างไรก็ตามจากข้อมูลการซื้อ LTFในอดีตพบว่าผู้มีรายได้มากกว่า 1 ล้านบาทต่อปี มีการซื้อ LTF เฉลี่ย 1.5 แสนบาทต่อรายวงเงินดังกล่าวจึงถือเป็นการประเมินแบบ Conservative
ทั้งนี้คาดผลของเม็ดเงิน TESG ใหม่ 3-4 หมื่นล้านบาทและเข้าตลาดหุ้นในช่วง 2.5-4 หมื่นล้านบาทช่วย “หนุน SET Indexได้ระดับ 5-8%” โดยหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการ TESG ใหม่ ประเมินใน 2 แง่มุม 1. หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเม็ดเงิน TESGไหลเข้าในระดับสูงชอบ CPALL- GULF -ADVANC -CPN และ MINT 2. หุ้นที่คาดเม็ดเงินไหลเข้าเทียบกับมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูง SABINA -CK และ ERW